วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บ้านในฝัน สวรรค์น้อยๆ

เมื่อครั้งที่แล้วเราได้พูดคุยกันไปถึงลักษณะของบ้านทรงกระท่อมหรือบ้านสไตล์คอตเทชอย่างกว้างๆ กันไปบ้างแล้ว ด้วยเสน่ห์ของบ้านที่มีขนาดเล็กน่ารักนี้เอง ทำให้บ้านทรงกระท่อมเป็นบ้านที่ได้รับความนิยมของผู้คนนับแต่อดีตกาลเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน

บ้านกระท่อมในยุคต้น เกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์เราเริ่มคิดที่จะสร้างที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เริ่มจากกระท่อมไม้มุงด้วยหลังคาจาก หรือแฝก พัฒนามาเป็นกระท่อมของชาวนาที่เรียบง่ายอยู่สบาย และมีวิวัฒนาการข้ามศตวรรษมาสู่บ้านกระท่อมในยุคโลกาภิวัฒน์ที่มีเสน่ห์น่ารักสำหรับ การมาใช้ชีวิตครอบครัวที่หลบจากความสับสนของชีวิตประจำวันมาสู่ความเงียบสงบ และอบอุ่นในกระท่อมน้อยนี้

จากศตวรรษหนึ่งสู่ศตวรรษหนึ่ง บ้านทรงกระท่อมก็ได้แปรเปลี่ยนรูปร่างไปหลายแบบตามอิทธิพลของวัฒนธรรม และสังคมในแต่ละสมัย จากกระท่อมหลังคาแฝกทรงอังกฤษ (English cottage) มาสู่ กระท่อมทรงคลาสสิกเคปคอต (Cape Cod cottage) และพัฒนามาเป็นบ้านทรงกระท่อมที่มีรูปแบบเป็นบ้านอยู่อาศัยอันทันสมัยของผู้คนในยุคปัจจุบัน

กระท่อมอังกฤษ (English cottage) รากฐานของบ้านทรงกระท่อมได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 จากการเป็นบ้านในสไตล์ระดับกลางที่คั่นระหว่างปราสาทราชวังอันหรูหราของเหล่าขุนน้ำขุนนาง และบ้านชาวนาที่ยากจน

คอตเทชเป็นบ้านของชาวชนบทที่มีฐานะปานกลาง มีขนาดพอเหมาะและมีการตกแต่งที่งดงามเหมาะกับฐานะ พื้นที่ใช้สอยเป็นบ้านขนาดสองชั้น ชั้นบนเป็นส่วนห้องนอนมีหลังคาสูงชัน และมีขนาดกว้างขวางกว่ากระท่อมมุงแฝก

ในช่วงปลายทศวรรษ ค.ศ. 1800 กระท่อมในอังกฤษก็ได้แปรรูปโฉมเป็นกระท่อมน้อยที่ได้รับการประดับตกแต่งราวกับภาพเขียน ด้วยเครื่องตกแต่งอย่างในยุคกลางคือ หน้าต่างกระจกแบ่งซอยเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีกันสาดเล็กๆ คลุมหน้าต่าง หลังคาสูงชัน เป็นบ้านที่ชวนฝันอย่างในเทพนิยาย

บ้านทรงกระท่อมในสหรัฐอเมริกา กระท่อมรุ่นแรกเริ่มจากการก่อสร้างของชาวอังกฤษที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่แมทซาชูเสทส์ และได้นำเอาวัฒนธรรม กับรูปแบบของบ้านทรงกระท่อมติดมาจากถิ่นฐานเดิมของตน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เราพบว่าชาวอังกฤษมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่พลีมัทโดยสร้างกระท่อมที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 440 ตารางฟุตหรือประมาณ 40 ตารางเมตร บางครั้งก็น้อยกว่านั้นตามแต่ที่ครอบครัวของตนจะมีกำลังสร้างได้

รูปแบบของบ้านกระท่อมสร้างขึ้นจากไม้โอ๊ค และหิน หลังคาคลุมด้วยอ้อหรือฟาง ฝาทำด้วยไม้โอ๊คหรือไม้ขัดแตะและใช้แผ่นไม้ปิดอีกชั้นหนึ่ง บางครั้งฉาบผิวด้วยดินทรายและหญ้าเพื่อป้องกันน้ำซึมเมื่อฝนตกหนัก

กระท่อมทรงเคปคอต ช่วงระยะเวลา 10 ปีต่อจากนั้น ผู้คนที่มาตั้งถิ่นฐานใหม่ต่างยุ่งอยู่กับการสร้างบ้านเรือนของตน นับตั้งแต่บ้านที่เรียบง่ายสมถะจนถึงแบบบ้านที่งดงามหรูหราโดยมีรูปแบบพื้นฐานมาจากบ้านกระท่อมพื้นถิ่นของอังกฤษซึ่งเปรียบเสมือนกับแผ่นดินแม่ของตนนั่นเอง จนมาถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 18 บ้านทรงกระท่อมได้เริ่มปรากฏโฉมอย่างโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ในสหรัฐอเมริกา ด้วยรูปทรงบ้านที่มีหลังคาเดี่ยวทรงจั่วสูงชัน ซึ่งเป็นรูปแบบของบ้านกระท่อมทรงเคปคอตที่คงอยู่ในปัจจุบัน

ผู้สร้างกระท่อมที่เคปคอตเป็นกลุ่มแรก คงไม่คิดว่ากระท่อมหลังน้อยนี้ จะกลายเป็นต้นแบบของบ้านทรงกระท่อมในสหรัฐฯ เพราะในสมัยนั้นที่เคปคอตดูจะเป็นแห่งเดียวที่มีวัสดุก่อสร้างครบครัน ซึ่งแตกต่างจากมลรัฐอื่นๆ ในสหรัฐ กระท่อมเคปคอต ปรากฏโฉมออกมาได้อย่างน่ารักด้วยสัดส่วนที่พอเหมาะของช่วงเสา 10 ฟุต x 10 ฟุต ที่สามารถลากต่อกันลงบนพื้นทรายแสดงแปลนและนำไปสร้างณสถานที่ต่างๆได้โดยใช้แบบเดียวกัน กระท่อมเคปคอตจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการสร้างบ้านในสหรัฐฯ

กระท่อมเคปคอต ประกอบด้วย โถงอเนกประสงค์ 1 ห้อง และเฉลียงทางเข้าเล็กๆพร้อมด้วยเตาผิง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวใจของบ้านเลยทีเดียว ส่วนฝาด้านนอกทำด้วยไม้ตีเกล็ดตามนอน หน้าต่างบานเลื่อนขึ้นลงแบ่งซอยเป็นลูกฟักเล็กๆมีสัดส่วนอยู่ที่ 12 ช่อง สำหรับบานล่างและ 8 ช่อง สำหรับบานบน มีกันสาดเล็กๆเหนือหน้าต่าง เพราะเนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้มีลมแรงหากมีกันสาดใหญ่ก็จะทำให้เกิดความเสียหายเวลามีพายุได้

เมื่อกระท่อมคลาสสิกหลังนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ และพันธุ์ไม้ที่เลื้อยพันอยู่โดยรอบไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธได้ถึงความงามน่ารักมีเสน่ห์ของกระท่อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้บ้านทรงกระท่อมได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น