วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นาฬิกาชีวิต (BIOLOGICAL CLOCK)

รูปของบทความ นาฬิกาชีวิต

การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายใน มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเวลา
(นาฬิกาชีวิต) ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบต่างๆ
เป็นไปตามสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป การดำเนินชีวิต และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิต
ประจำวัน

ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืน ปราศจากโรค

โดยแบ่งเป็นช่วงเวลา ดังนี้

01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำใน
ช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจาก
ร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร
เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือ ขจัดสารพิษในร่างกาย

ส่วนหน้าที่รอง คือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก
จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
[ ซวยแล้ว ช่วงกินเบียร์ด้วยสิ ]

03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนลุก ขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับ
แสงแดดในยามเช้าผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็น ประจำปอดจะดี ผิวจะดีขึ้น และจะเป็น คนที่มีอำนาจในตัว
[ (--') มันเกี่ยวกับการมีอำนาจด้วยหรอ... ]

05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่
ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูกถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มนํ้าอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่ม
น้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือ
บริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่า
หน้าท้องไปติดสันหลัง
[ เจ๋งอ่ะ กดจุด แล้วถ่ายได้ มันต้องลอง... ]

07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้า
ในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคน
ตัดสินใจช้า ขี้งวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
[ มิน่าล่ะ ทำไมเราหน้าเด็ก เพราะกินข้าวเช้านี่เอง โฮะๆ ]

09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด
สร้างน้ำหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครง
สาเหตุมาจากม้ามกับตับ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและนํ้าที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมนั จึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก
ผู้ที่พูดบ่อยๆหรือพูดเก่ง ๆ ม้ามจะชื้น จึง ควรพูดน้อยกินน้อยจึงแข็งแรง
[ จะบอกว่าไม่ควรตื่นสายใช่ไหม... ]

11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยง
ความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
[ อืม... งั้นประชุมไม่ได้นะ คุณหัวหน้า นอนพักดีกว่า อิอิ ]

13.00-15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิด
โอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ ดูดซึมสารอาหารที่เป็นนํ้าทุกชนิด เช่น วิตามิน ซี บี โปรตีน
เพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโน
น้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า
เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ1 ซี่
[ อ้าวหรอ ผู้หญิงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าหรือเนี่ย... ]

15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจาก
หัวตา -> ผ่านหน้าผาก -> ศีรษะ -> ท้ายทอย -> แผ่นหลังทั้งแผ่น -> สะโพก -> ด้านหลังขา ->
หัวเข่า -> น่อง -> ส้นเท้า -> นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำไทรอยด์และ
ระบบเพศทั้งหมด ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง

ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย
แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อย
ต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย)
การอั้นปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะจะูถูก ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็น
เหมือนปัสสาวะ
[ เพื่อนเราตัวเหม็นหลังออกกำลังกาย แสดงว่าอั้นปัสสาวะหรอ...]

17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ควรง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้
ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการ
หนักมาก
- ไตซ้าย จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม
ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และ
เป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญญา ความจำจะเสื่อม
และเป็นคนขี้หนาว(ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)

ถ้าลำไส้เล็ก มีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็น
ภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อมปวดหลัง
เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า
แต่นํ้าควรใส่สมุนไพรที่ถูกโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
[ ตอนเช้ามันหนาวนะให้อาบน้ำเย็นอีกหรอ (--') ]

19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ
ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่อง
ตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้า ชุดสีดำ เทา
เอาเท้าแช่ในน้ำอุ่น
[ หมายถึงห้ามขำหรอเนี่ย... ]

21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้
เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
[ตาก-ลม นะ ไม่ใช่ ตา-กลม (^^) ]

23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี (ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยยที่ออกมาจากตับ)
อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว
สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอด)
จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ( ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่ง
จะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)

ทางแก้ คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไป
ดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายจะดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียนํ้าใน
ร่างกาย ดังนั้น ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
[ถ้าไม่ใส่อะไรนอน คงไม่ผิดกติกามั้ง อิอิ]

ปล. ใครจะเอาไปใช้ ก็คงจะทำให้สุขภาพดีขึ้นแน่ ๆ แต่คงทำได้ไม่หมดทุกข้อแน่เลย (- -’)

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คุณควรขายบ้านตอนนี้...หรือในอนาคต?

หลายคนเข้าใจว่า เมื่อมีการย้ายเข้าบ้านใหม่ คือ การย้ายไปสู่บ้านหลังที่ใหญ่กว่า ห้องที่กว้างกว่า
แต่บางครั้งก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ต้องการย้ายเข้าไปในบ้าน ที่เล็กกว่าเดิม หรือ ราคาที่ถูกลง
กว่าเดิม

คงไม่มีเจ้าของบ้าน คนไหน ต้องการขายบ้าน ในสถานการณ์ ที่ถูกบังคับ แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอ
บางคนอาจจะถูก โอนย้ายงาน บ้างต้องเปลี่ยนสถานที่ทำงาน บางคนตกงาน หรือแม้กระทั้ง บางคู่ที่
หย่าร้าง

โดยปกติแล้ว การเริ่มต้นมีชีวิตครอบครัว มักจะตามมาด้วยการหาบ้านใหม่ อย่างเช่น ย้ายจาก คอนโดมิเนียม ในเมืองไปอยู่ บ้านเดี่ยว นอกเมือง เพราะฉะนั้น การตัดสินใจ ขายบ้าน อาจจะ

เป็น การถูกบีบบังคับไปในตัว และถ้าคุณ ไม่ระมัดระวัง อาจจะทำให้สภาพคล่องการเงิน
คุณมีปัญหาได้ มีเหตุผลบางประการ ที่คุณอาจ ถามตัวคุณเองว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง
ที่คุณควรจะขายบ้าน


เหตุผลบางประการที่คุณน่าจะขาย



1. คุณเปลี่ยนงาน

หากคุณถูกย้ายไปทำงาน ต่างจังหวัดถาวร คุณอาจจะต้อง ขายบ้านหลังปัจจุบัน เพื่อที่จะซื้อหลังใหม่
ในจังหวัดนั้นๆ หรือ หากคุณได้งานใหม่ แต่ที่ทำงานแห่งใหม่ ไกลบ้าน คุณอาจจะต้องเผชิญ กับปัญหา เรื่องการเดินทาง ค่าน้ำมัน และที่สำคัญเวลา ที่สูญหาย ไปกับการเดินทาง และการพักผ่อน


2. เนื้อที่หรือพื้นที่

ถ้าขนาดของครอบครัวคุณ เปลี่ยนไป ความต้องการ พื้นที่ใช้สอยต่างๆ ก็จะต้องเปลี่ยนตาม
เช่นเมื่อคุณต้องการ พื้นที่ที่เล็กลง การขายก็อาจ เป็นคำตอบที่ดี แต่หาก คุณต้องการ พื้นที่
เพิ่มมากขึ้น คุณอาจจะลองพิจารณา การต่อเติมซ่อมแซม บ้านหลังเดิม ของคุณ เพื่อให้มีพื้น
ที่เพิ่มขึ้น แต่หากการลงทุน ที่กล่าวมานี้ แพงเกินไป การขายบ้าน ก็น่าจะเป็นอีกทางออกหนึ่ง


3. การเปลี่ยนสถานภาพ

กรณีที่คุณแต่งงานหรือมีครอบครับ แน่นอนว่า บ้านหรือที่อยู่ปัจจุบัน ของคุณ อาจจะคับแคบเกินไป
แต่หากคุณเกิดการหย่าร้าง หรือเป็นม่าย คุณก็อาจจำเป็น ที่จะต้องขายบ้านคุณ เพื่อลงค่าใช้จ่าย
หรือแม้กระทั้ง เพื่อเป็นการประนีประนอม ในการตกลงเรื่อง ทรัพย์สินกับอดีตคู่สมรสคุณ


4. เวลาที่เหมาะสม

ถ้าตลาดที่อยู่อาศัย อยู่ในช่วงสดใส หรือดี และคุณมีโครงการว่า จะย้ายในอนาคตอยู่แล้ว
การขายทันที ก็อาจจะทำให้คุณ ได้ราคาและกำไรที่ดี


เหตุผลบางประการที่คุณน่าจะอยู่ต่อ หรือยังไม่ควรขาย



1. สภาพการเงิน

หากคุณกำลัง ประสบปัญหา กับค่าผ่อนบ้านปัจจุบันอยู่ คุณอาจจะลอง พิจารณาถึง การรีไฟแนนช์
แทนที่จะรีบขายบ้าน ออกไป


2. ทิศทางที่ไม่แน่นอน

ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าขายแล้วจะย้ายไปไหน คุณก็ควรจะอยู่ที่เก่าไปก่อน หากคุณยังต้องชำระ
ค่าผ่อนบ้านอยู่ ก็ถือว่าเป็นการได้มา ซึ่งสินทรัพบ์ให้กับตัวคุณเอง


3. การต่อเติมหรือซ่อมแซม

หากบ้านคุณอยู่ในทำเลที่ดี ชุมชนที่ดีแล้ว แต่คุณกับไม่ชอบตัวบ้านของคุณ คุณก็น่าจะลอง
ต่อเติม หรือแม้กระทั่ง รื้อแล้วสร้างใหม่


4. เวลาที่ยังไม่เหมาะสม

หากตลาดที่อยู่อาศัยยังซบเซาอยู่ การขายบ้าน นอกจาก จะไม่ได้กำไรแล้ว คุณอาจจะต้อง

ขาดทุน และไปสร้างหนี้ใหม่ กับบ้านหลังใหม่

ดังนั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจนะคะ

สาระน่ารู้.....เรื่องบ้าน

เรื่องที่ควรตรวจสอบก่อนซื้อบ้าน 6 ประการ
วงเงินการปล่อยกู้จากสถาบันการเงิน
ทั้งนี้เพื่อจะได้ทราบระดับราคาบ้านที่จะสามารถซื้อได้โดยผู้ซื้อสามารถตรวจสอบได้ที่ฝ่ายให้บริการสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ หรือตามเว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลด้านที่อยู่อาศัย หรือตามเว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลด้านที่อยู่อาศัย หรือตามเว็บไซต์ของสถาบันการเงิน ซึ่งโดยปกติสถาบันการเงินจะปล่อยกู้ประมาณ 25-30 เท่าของอัตราเงินเดือนผู้กู้ ในกรณีที่ผู้ซื้อมีผู้กู้ร่วมด้วยอัตราส่วนเพิ่มของวงเงินกู้ ก็จะเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเดือนของผู้กู้ร่วม ทั้งนี้สถาบันการเงินอาจจะพิจารณาปล่อยกู้เกินกว่าวงเงินขั้นต่ำที่กำหนด โดยพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น อาชีพ ความมั่นคง ความก้าวหน้า ความสามารถในการผ่อนชำระ อาชีพเสริมที่รู้แหล่งที่มาของรายได้ เป็นต้น

ข้อมูลโครงการ
โดยแบ่งแยกตามทำเล ระดับราคา และประเภทที่อยู่อาศัยที่สนใจ จากสื่อสิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลด้านที่อยู่อาศัย ทั้งนี้เพื่อประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปดูโครงการจริง

ข้อมูลทางราชการ

เช่น แนวเวนคืน โครงข่ายสาธารณูปโภค-สาธารณูปการที่มีอยู่ และจะเกิดขึ้นในอนาคตข้อมูลบางอย่างจะมีประโยชน์ต่อการอยู่อาศัย เช่น การก่อสร้างทางด่วน การตัดถนน เป็นต้น

ผังเมืองรวม
ควรหลีกเลี่ยงโครงการที่อยู่ในเขตผังเมืองประเภทพื้นที่อุตสาหกรรม หรือพาณิชยกรรม หรือที่พักอาศัยหนาแน่นมาก เพราะพื้นที่เหล่านี้จะเป็นเขตที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น และมีกิจกรรมต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิดมลภาวะ ปัญหาการจราจร ฯลฯ
สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น
เช่น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ฯลฯ เพราะหากมีความจำเป็นต้องใช้บริการ จึงควรตรวจสอบระยะเวลา และความสะดวกในการเดินทาง

เส้นทางการเดินทาง และโครงข่ายการจราจร
เช่น ข้อมูลการเดินรถสาธารณะ เส้นทางรถโดยสารสาธารณะจำนวนสายเดินรถ ช่วงเวลาการให้บริการ โดยเฉพาะรถโดยสารประจำทางที่จำเป็นต้องใช้ประจำระหว่างบ้านกับที่ทำงาน และโรงเรียนลูกหรือข้อมูลทางด่วน ถนนซอยต่างๆ ปริมาณการจราจร จุดที่มีปัญหา และเส้นทางลัด เป็นต้น

แล้วพบกับสาระดีเรื่องบ้านได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ วันนี้ต้องไปแล้ว สวัสดีค่า...

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สาระน่ารู้ เรื่อง.........บ้าน

สวัสดีค่ะ วันนี้ภูมิใจเสนอ เทคนิคการจัดบ้านให้กว้าง สาระดีที่นำไปใช้ได้จริงล้วนๆ หลายคนคงคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงให้บ้าน หรือวิมานน้อยๆของคุณมีพื้นที่ใช้สอยให้มากที่สุด มาดู 6 idea กว้างในบ้านแคบ กันเลยจ้า

6 ไอเดียกว้างในบ้านแคบ

ไอเดียที่ 1 ไม่กั้นก็ไม่แคบ

สิ่งสำคัญในการจัดพื้นที่แคบคือพยายามสร้างความต่อเนื่องภายในพื้นที่ไว้ให้มากที่สุด ไม่ควรกั้นผนังทึบ เพราะจะยิ่งทำให้บ้านดูแคบลงไปอีก หากต้องการแบ่งพื้นที่ใช้งานภายในห้องควรกั้นผนังแบบโปร่ง โดยการทำชั้นวางของ ใช้ฉากหรือม่านที่เลื่อนปิดเปิดได้ เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน อีกวิธีหนึ่งคือการแบ่งพื้นที่ด้วยการเปลี่ยนสีหรือพื้นผิวของผนังและพื้น ซึ่งนอกจากจะช่วยแบ่งสัดส่วนของพื้นที่แล้ว ยังสามารถเปลี่ยนอารมณ์และเพิ่มมิติให้กับพื้นที่ได้อีกด้วย

ไอเดียที่ 2 หนึ่งชิ้นหลายหน้าที่

เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบอเนกประสงค์แทนการใช้เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นให้เกะกะพื้นที่ และอีกวิธีหนึ่งคือการจัดวางตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์แบบธรรมดาให้ใช้งานได้หลากหลาย เช่น วางโต๊ะกลางในตำแหน่งที่เป็นได้ทั้งโต๊ะรับประทานอาหาร โต๊ะนั่งเล่น และโต๊ะทำงาน แล้วแต่การใช้งานในแต่ละโอกาสและช่วงเวลา





ไอเดียที่ 3 ปรับเปลี่ยนประหยัดที่

การใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถยืด หด พับเก็บ หรือมีล้อเลื่อน จะช่วยประหยัดเนื้อที่ได้มาก เพราะทำให้ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานและเคลื่อนที่ไปใช้งานในส่วนต่างๆได้อย่างสะดวก เมื่อไม่ใช้งานก็นำไปเก็บได้โดยไม่เปลืองเนื้อที่ ถ้าหากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถเก็บแบบซ้อนชิ้นเล็กในชิ้นใหญ่ หรือถอดประกอบแยกส่วนได้ด้วยจะยิ่งช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากขึ้นด้วย

ไอเดียที่ 4 บิลท์อินช่วยคุณได้

แม้ว่าการทำเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินจะทำให้เสียพื้นที่ไปบางส่วน แต่ก็เป็นวิธีที่ดีในการจัดการกับพื้นที่ที่มีอยู่จำกัดให้เป็นประโยชน์และตรงกับความต้องการของคุณได้ดีกว่าการใช้เฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว เพราะสามารถออกแบบให้มีขนาดพอดีกับข้าวของเครื่องใช้ และช่วยให้การเก็บของเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นด้วย





ไอเดียที่ 5 ติดผนังเข้าไว้

หากบ้านของคุณมีพื้นที่ไม่เพียงพอที่จะวางข้าวของที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ คุณสามารถเพิ่มพื้นที่ใช้สอยด้วยการใช้ประโยชน์จากที่ว่างทางแนวตั้ง ไม่ว่าจะทำชั้น หรือราว ที่สามารถยกข้าวของของคุณขึ้นจากพื้นไปลอยอยู่เหนือหัว หรือติดอยู่บนผนังให้มากที่สุด แล้วคุณจะพบว่าภายในบ้านยังเหลือพื้นที่ว่างให้ใช้ได้อีกมากมาย ตั้งแต่พื้นไปจนถึงฝ้าเพดาน

ไอเดียที่ 6 เทคนิคลวงตา

ใช้องค์ประกอบพื้นฐานในการออกแบบ เช่น เส้น สี แสง เงา และผิวสัมผัส มาตกแต่งบ้านเพื่อช่วยหลอกตาให้ดูกว้างขึ้น เช่น การใช้เส้นนอนเพื่อยืดให้ห้องดูยาวขึ้น การเปิดช่องแสงเพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอก การใช้วัสดุผิวมันวาว เช่น กระจกหรือสเตนเลส สร้างเงาสะท้อนเพิ่มมิติให้กับพื้นที่ การใช้เฟอร์นิเจอร์แบบโปร่งบาง ทำให้ห้องดูโล่ง ไม่ทึบตัน การใช้สีอ่อนๆหรือการจัดแสงไฟให้ห้องดูสว่างขึ้น และวิธีอื่นๆอีกมากมายที่สามารถมาประยุกต์ให้เข้ากับความต้องการใช้สอยและสไตล์การตกแต่งบ้านของคุณ

ที่มา : เรื่อง : ดำรง ลี้ไวโรจน์
: ภาพประกอบ ::: แฟ้มภาพบ้านและสวน

เห็นมั้ยคะ แค่นี้คุณก็มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นอีกเยอะ คราวหน้ายังมีเทคนิคและไอเดียเก๋บวกสาระเรื่องบ้าน บ้าน มานำเสนออีกเพียบ อย่าลืมติดตามนะค๊า วันนี้ไปแล้ว สวัสดีค่ะ

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การทาสีบ้านเสริมฮวงจุ้ย



การทาสีบ้าน ช่วยเสริมสง่าราศีของที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกับการ ผัดหน้าทาแป้งของมนุษย์ ที่ช่วยเสริมราศีบนใบหน้าให้น่ามองยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่การทาสีบ้านหรือที่อยู้อาศัยนั้น มีส่วนที่จะช่วยเสริมฮวงจุ้ยของบ้านนั้นๆได้ ทั้งนี้ต้องอาศัยหลัก 5 ธาตุ สัมพันธ์ กับทิศทางของหน้าบ้านหลังนั้นๆ นั่นเอง ฉบับนี้ผู้เขียนจึงขอนำความรู้เรื่องดังกล่าวมาฝาก ท่านผู้อ่านที่รักที่คิดจะทาสีบ้านใหม่เพื่อให้ถูกโฉลก และเพิ่มความสบายใจรวมทั้งเกิดความมั่นใจว่า ได้ทำอย่างถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว
สีบ้านสัมพันธ์กับทิศทางหน้าบ้าน ลำดับที่ ทิศทางของหน้าบ้าน หลัก 5 ธาตุ สีที่ควรทาหน้าบ้าน สีที่ควรทาตัวบ้าน
1. ทิศใต้ ธาตุไฟ สีเขียว หรือ สีส้ม สีขาว

2. ทิศเหนือ ธาตุน้ำ สีขาว หรือ สีฟ้า สีเขียว หรือ สีส้ม

3. ทิศตะวันออก หรือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ธาตุไม้ สีฟ้าหรือ สีเขียว สีขาว หรือ สีครีม

4. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ธาตุดิน สีครีม หรือ สีส้ม

5. ทิศตะวันตก หรือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ธาตุทอง สีครีม หรือ สีบรอนซ์เงิน หรือ สีบรอนซ์ทอง สีฟ้า หรือ สีขาว
การทาสีบ้าน ไม่จำเป็นต้องทาสีใหม่ทุกๆปี ผู้อยู่อาศัยควรทาสีตามความจำเป็น และตามโอกาสที่เหมาะสม ที่จะเอื้ออำนวยให้ปรับปรุงสีใหม่ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังทุนทรัพย์ ของเจ้าของบ้านในช่วงนั้นๆ ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามไหนๆ จะทาสีบ้านใหม่ทั้งที ก็ควรเลือกสีสันที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยไว้ เพื่อช่วยเสริมดวงผู้อยู่อาศัย และครอบครัว ให้ดียิ่งๆขึ้นไป ก็จะเกิดเป็นมงคลแก่ชีวิตได้เช่นกัน
ก่อนจะจากกันไปในฉบับนี้ ขอฝากข้อคิดคำคม สำหรับแฟนคอลัมน์ฉบับนี้ไว้ว่า " วาจา คำหนึ่งมี 36 เหลี่ยม ทุกเหลี่ยมสามารถทิ่มแทงใจคนได้ " ด้วยความคารวะหลันฮัว

***หมายเหตุ หากท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่านสามารถนำความรู้ ที่ผู้เขียนได้เผยแพร่ผ่านคอมลัมน์นี้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตบ้าง ผู้เขียนก็ขอเทอดทูน คุณความดีนั้น ให้แก่ ท่านอาจารย์ตั้งกวงจือและคณาจารย์ทั้งหลายที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ผู้เขียนมาโดยตลอด

แบบทดสอบบุคลิกภาพ สุดเจ๋ง

แบบทดสอบบุคลิกภาพ

ทดสอบความฉลาด, บุคลิกภาพ ความเป็นคุณ

There was a very, very tall coconut tree and there are 4 animals,
มีต้นมะพร้าวต้นหนึ่งที่สูงๆๆๆๆๆ มากๆๆๆๆๆๆๆ และที่นั่นก็มีสัตว์อยู่ 4 ชนิด

ก็คือ

สิงโต a Lion

ลิงชิมแปนซี a Chimpanzeeespectaculo-chimpance

ยีราฟ a GiraffeGiraffe In A Jam 45 Animal Ark, Lucy Daniels, 0340778458

กระรอก a Squirrel

who pass by.

They decide to compete to see who is the fastest to get a banana off the tree.
พวกมันแข่งกันว่า ใครจะปีนไปเก็บกล้วยได้เร็วที่สุด

Who do you guess will win?

คุณลองเดาซิว่า ใครจะชนะ?

Your answer will reflect your personality.

คำตอบของคุณเป็นผลสะท้อนต่อบุคลิกภาพของคุณนะ

So think carefully . . .. Try and answer within 30 seconds

ดังนั้น คิดให้รอบคอบ พยายามและตอบภายใน 30 วินาที

Got your answer?

ได้คำตอบรึยัง?

Now scroll down to see the analysis.

ไปดูคำตอบกันนนนนนน


v

v

v

v

v

v

v

v

v



If your answer is:
ถ้าคำตอบของคุณคือ...

Lion = you're dull.
ตอบ สิงโต = คุณโง่มาก!!

Chimpanz ee = you're a moron.
ตอบ ลิงซิมแพนซี = คุณเป็นคนปัญญาอ่อน!!

Giraffe = you're a complete idiot.
ตอบ ยีราฟ = คุณเป็นคนสมองทึบ อีเดียท!!

Squirrel = you're just hopelessly stupid.
ตอบ กระรอก = คุณไร้สมองสุดๆ!!


A COCONUT TREE DOESN'T HAVE BANANAS.

ต้นมะพร้าวจะมีกล้วยได้ไงฟร่ะ!!! 555++


Obviously you're stressed and overworked.
You should take some time off and relax!
Try again this year.
เห็นได้ชัดเลยว่า คุณกำลังเครียดมากและทำงานหนักเกินไป
ควรจะหาเวลาพักผ่อนบ้างนะ
พยายามใหม่ ปีนี้!!


ทายนิสัยจากห้องนอน

ห้องนอน คือ ห้องที่คุณสามารถ ทำเรื่องส่วนตัวของคุณได้อย่างเต็มที่ เพราะคุณจะละเลง หรือตกแต่งอะไรต่ออะไรเข้ามาไว้ที่ห้องนอน และขึ้นอยู่กับ ความพอใจของคุณที่จะทำด้วย ทำให้มองถึงอุปนิสัยบางอย่างในตัวคุณได้ชัดเจน
ห้องนอนหรูหรา
คุณมักเลือกสรรเอาแต่เฟอร์นิเจอร์สุดหรู ดูดี มีราคามาตกแต่งห้องนอน แสดงว่าคุณเป็นคนที่เจ้าระเบียบเอาการเชียว ค่อนข้างจุกจิกจู้จี้ ชอบทำตัวเป็นเจ้านาย แสดงอำนาจคอยสั่งคนอื่น แต่ไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอน รักความสบาย เจ้ายศเจ้าอย่าง สังคมที่เหมาะคุณคงจะเป็นระดับไฮโซฯ ที่ชอบความหรูหราคล้ายๆ กัน

ห้องนอนหวานแหวว

คุณเลือกของกระจุกกระจิก คิกขุน่ารัก มาประดับประดาไว้ในห้องนอน มองรอบห้องจะมีแต่บรรยากาศกุ๊กกิ๊กชวนฝัน แสดงว่าคุณเป็นคนอ่อนโยน อ่อนหวาน น่ารัก เป็นที่รักของเพื่อนๆ ร่าเริง สนุกสนาน แต่จะเสียที่ว่าคุณมักจะดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง เหมือนเด็กในบางครั้ง

ห้องนอนเรียบง่าย


สไตล์การจัดห้องนอนของคุณเป็นแบบเรียบๆ ไม่มีของตกแต่งให้ดูรกห้อง จัดวางเฟอร์นิเจอร์เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เน้นความหรูหรา แต่จะชอบความเป็นระเบียบ โล่ง สบายตา แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่เอาเปรียบใคร และจะไม่ค่อยจะขัดแย้งกับใครด้วย มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง จริงจัง เอาการเอางาน ค่อนข้างสะมะถะ

ห้องนอนรกๆ

Image



ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยมีเวลาจัดระเบียบห้องนอนสักเท่าไหร่ มักปล่อยให้ข้าวของวางเกะกะเกลื่อนห้อง ไม่เป็นระเบียบ เอาสะดวกมือไว้ก่อน แสดงว่าคุณเป็นคนที่ทำอะไรปุบปับ ว่องไว เฮฮา เพื่อนฝูงมากมาย ไปไหนไปกัน ไม่ชอบความจำเจ หาความแปลกใหม่ให้ชีวิตมีรสชาติอยู่เสมอ แต่ข้อเสียคือ คุณมักทำอะไรโผงผาง ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ทำให้เกิดความผิดพลาดได้

แล้วห้องนอนของคุณล่ะ...เป็นแบบไหน?


วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สุดยอดโรงแรม 10 อันดับที่อาจมีในอนาคตและบางอันเกิดขึ้นแล้ว

อันดับที่ 10 Apeiron island Hotel

อันดับที่ 9 Foldable hotel pods Hotel

อันดับที่ 8 Burj al-Arab

อันดับที่ 7 Waterworld

อันดับที่ 6 The Poseidon รีสอร์ทใต้ทะเล

อันดับที่ 5 The Hydropolis : โรงแรมใต้น้ำระดับ 10 ดาว

อันดับที่ 4 The Lunatic Hotel : โรงแรมบนดวงจันทร์

อันดับที่ 3 Aeroscraft : โรงแรมบินสุดหรูสำหรับวันพรุ่งนี้

อันดับที่ 2 Galactic Suite โรงแรมอวกาศ

อันดับที่ 1 Bigelow Aerospace, Las Vegas



วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วลีซึ้งๆ จากหนังรักที่จุดประกายให้หัวใจอีกครั้ง

อ่านมาจากนิตยสารคลีโอค่ะ เลยเอามาลงไว้ให้อ่านกัน เพื่อความบันเทิง
The twilight
" ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉันจะจากโลกนี้ไปอย่างไร
แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ฉันยินดีจะตายไปพร้อมกับคนที่ฉันรัก"

Runaway Bride
" ถ้าฉันไม่วอนขอให้คุณเป็นคนรัก ฉันคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
เพราะฉันรู้ว่าในหัวใจของฉันมีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้น "

My best friend's wedding
" หากคุณรักใครสักคน จงพูดมันออกไปดังๆ
ก่อนที่โอกาสนั้นจะผ่านไปอย่างไม่อาจเรียกกลับ "

Meet Joe Black
" จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเจอคนที่ใช่ จงอย่าใช้สมองแต่ให้ฟังเสียงของหัวใจ
ก้าวออกไปเผชิญหน้า และยอมเสี่ยง แม้วันข้างหน้าจะต้องผิดหวังก็ตาม
เพราะหากเธอไม่พยายาม เธอจะไม่มีวันได้พบกับความรัก "

Good will hunting
" ไม่สำคัญเลยว่าเขา หรือเธอคนนั้นจะสมบูรณ์แบบหรือไม่
เพราะในความรัก เขาหรือเธอต่างสมบูรณ์แบบในสายตาของกันและกันเสมอ "

Forget Paris
" เมื่อคุณรักใครสักคนด้วยหัวใจ ความรู้สึกนั้นจะไม่จางหาย แม้ถึงกาลต้องแยกจาก
เมื่อคุณรักใครสักคน คุณจะยอมทำทุกสิ่ง อย่างไม่รู้สึกเหน็ดหน่าย และจงเชื่อไว้เถอะว่า
เมื่อคุณรักใครสักคนด้วยหัวใจอย่างแท้จริง สักวันหนึ่ง...รักนั้นจะเป็นของคุณ "

Don Juan Demarco
" มีสี่คำถามถึงความหมายของการใช้ชีวิต
สิ่งใดควรค่าแก่การยอมพลีให้
สิ่งใดที่หล่อเลี้ยงให้จิตวิญญาณของเรายังโลดเต้น
สิ่งใดที่ทำให้เราทำทุกอย่างเพื่อแลกกับการได้มีชีวิตอยู่
และสิ่งใดกันที่ยอมให้เราสละลมหายใจเพียงเพื่อแสดงความศรัทธาต่อสิ่งนั้น
ทั้งหมดนี้มีคำตอบอยู่เพียงหนึ่ง นั่นคือ ความรัก "

A walk to remember
" ความรักของเราเป็นเหมือนสายลมที่ไล้ผ่านกาย
ไม่อาจมองเห็นแต่ฉันสัมผัสมันได้ "

สุดท้ายที่ประทับใจและยังจำได้ขึ้นใจ คือ หนังไทยเรื่อง " ข้างหลังภาพ "
ของ ศรีบูรพา เป็นตอนที่นางเอกกำลังจะตายในอ้อมแขนของพระเอก
จึงได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไป ก่อนที่ไม่มีโอกาสจะได้บอก
ว่า " ถึงฉันจะตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจที่ได้ตายในอ้อมแขนของคนที่ฉันรัก "
ซึ้งมาก ยังจำได้ถึงทุกวันนี้เลย

พอได้หวนนึกถึงหนังเรื่องโปรดอีกครั้ง บางเรื่องเคยดู บางเรื่องยังไม่เคยดูเลย
ต้องไปหามาดูบ้างแล้ว ที่ยังจำได้ล่าสุดคือ แวมไพร์ ทไวไลท์ (ปลื้มพระเอก ^_^)
คนอื่นอ่านแล้ว in มั้ย หรือมีวลีที่เด็ดกว่านี้ เพิ่มเติมได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณสิ่งดีๆ ที่มีมาให้พบเจอในทุกๆวัน

จาก forward mail ที่อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลยค่ะ
แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน
ก็ยังโง่เท่าเดิม

ว. วชิรเมธี
.................
นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ"

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

เจริญพร
ว วชิรเมธี
สาธุสาธุสาธุ

อย่าอ่านแล้วลืม แต่อ่านเพื่อให้จำแล้วนำไปใช้ จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงค่ะ
ขอบคุณค่ะ ^_^

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีจัดลำดับงานแบบ work work

อ่านมาจาก web หนึ่ง ในเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญของงาน มีการอธิบายและบอกวิธีฝึกฝนง่ายๆไว้ด้วย
ช่วยให้ชีวิตการทำงานเป็นระบบระเบียบขึ้นเยอะเลย ลองทำดูนะคะ
หลายคนชอบบอกว่า งานยุ่ง งานเยอะ งานล้นมือตลอดเวลา ทำให้ทำงานไม่ค่อยทัน ไม่รู้จะทำงานไหนก่อนดี ด่วนทุกงานเลย ถ้ามาคิดดูดีๆแล้ว ถ้าสมมติว่าเรามีงานอยู่ 100 อย่าง จะมีงานสำคัญๆอยู่ 20% ที่ทำแล้วให้ผลลัพธ์ถึง 80% ที่เหลือเป็นงาน 80% ที่แม้ทำเสร็จแล้วก็ให้ผลเพียง 20% เท่านั้น

ดังนั้น นี่เป็นเพียงเหตุผลสำคัญเล็กๆ ที่ทำให้เราต้องมาจัดลำดับความสำคัญในการทำงานกัน บ่อยครังที่มักจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ แต่วันนี้จะมาอธิบายถึงหลักการ และวิธีเริ่มต้นง่ายๆให้อ่านกัน

ก่อนอื่นต้องเริ่มด้วยการแยกประเภทงานก่อน มี 4 ประเภท ดังนี้ค่ะ
(A)งานสำคัญและเร่งด่วน คือ งานที่ฝากใครทำไม่ได้ ต้องทำเองทันที เร่งด่วน รอช้าไม่ได้ และต้องสำเร็จด้วย
(B)งานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน คือ งานที่ฝากใครทำไม่ได้ ต้องทำเอง แต่ไม่ด่วนมาก ต้องจัดสรรเวลามาทำ และต้องสำเร็จด้วย
(C)งานไม่สำคัญแต่เร่งด่วน คือ งานที่ฝากคนอื่นทำได้ แต่ต้องทำทันที ไม่ควรช้า เช่น จ่ายค่าไฟ ถ้าไม่จ่ายจะถูกตัดไฟ เป็นต้น
(D)งานไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน คือ งานที่ฝากใครทำก็ได้ ถ้าว่างจริงๆแล้วจะทำ งานอย่างนี้ ถ้าจัดดีๆ อาจจะถูกผลัดไปได้ และบางครั้งกลับมาดูอีกครั้ง ก็ไม่สำคัญว่าจะเสร็จ หรือไม่ก็ไม่เสียหายอะไร

นอกจากเรื่องการแบ่งประเภทงานแล้ว ยังใช้หลักนี้ในการแบ่งเกณฑ์ของกลุ่มคนที่มอบหมายงานได้ด้วย ต้องมาวิเคราะห์ว่าถ้าคนๆนั้นต่อต้านเรา
จะเกิดปัญหากับชีวิตเราหรือไม่ (ความสัมพันธ์กับคนในองค์กรก็สำคัญ) ถ้ามี ต้องระบุความสำคัญในจุดนี้ไว้หน้าหัวข้องานของเราด้วย
จากนั้นเราก็มาบันทึกงานและจัดลำดับความสำคัญในตารางกันเถอะ
ทำง่ายๆในโปรแกรม exel ก็ได้ แบ่งเป็นช่องๆ 8 ช่อง โดยแต่ละช่องมีหัวข้อดังนี้ค่ะ1.To do (เราต้องทำอะไรบ้าง)

2.Minor (จำนวนของคนที่มีอิทธิพลต่อความสำคัญของงานนี้)
3.Priority (ลำดับความสำคัญ ก่อน-หลัง)
4.Done (สำเร็จแล้วหรือยัง)
ส่วนนี้เป็นส่วนสรุปแล้วค่ะ
5.Legend (คำอธิบาย A-D)
6.เขียนลงในช่อง (งานสำคัญและเร่งด่วน...ฯลฯ)
7.จำนวนของงานตามที่ได้แยกประเภท
การจัดตารางงานแบบนี้อาจจะดูยุ่งยากในช่วงแรกๆ ที่ต้องมานั่งนึกว่าเรามีงานอะไรบ้าง
แต่พอทำจนชินแล้ว เราจะกลายเป็นคนที่มีระเบียบแบบแผนในการทำงานชึ้นเยอะเลยค่ะ
ผู้เขียนก็จะลองทำดูเหมือนกัน (ได้หรือไม่เดี๋ยวมาดูผลอีกที ^_^)
ปล.อย่าลืมว่าพฤติกรรมใดก็ตามที่เราทำติดต่อกันมา 21 วัน มันจะกลายเป็นนิสัย
แต่ก็ขอให้เลือกทำแต่สิ่งๆดีๆแล้วกันนะคะ

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

11 การทำงานแบบคนไทยในสายตาของชาวต่างชาติ (ที่น่าคิด)

บทความนี้ได้มาจาก forward mail ของพี่ท่านหนึ่ง พออ่านแล้วรู้สึกสะอึกเหมือนกันนะเนี่ย แบบว่าต้องโดนกันสักข้อหนึ่งแหละ เลยอยากเอามาให้อ่านกันค่ะ
ร่วมแชร์ความคิดเห็นได้ที่นี่ ใครมีความเห็นอย่างไร มาคุยกันได้ค่ะ
ขอขอบคุณ ทุกความเห็นที่จะมีส่วนพัฒนาการทำงานของเราให้ดี และเข้าใจกันยิ่งๆขึ้นไป
ขอบคุณค่ะ ^_^