วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
1. นั่งสมาธิ อย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธี แก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
2. สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร , พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
3. ถวายยารักษาโรค ให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ - -- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
4. ทำบุญตักบาตร ทุกเช้า
อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วม ท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให ้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป
7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์ หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล
8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
9. ปล่อยปลา ที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ
10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม
11. ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา
อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์
1 ที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ไ ด ้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้ 1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ .
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ ( เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป .
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์
( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )
1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการ ให้คนได้บวช ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ *** ส่งต่อก็ได้บุญ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ชวนสาวไปดูหนังที่หอศิลป์กรุงเทพฯดีกว่า(งานนี้ฟรีจ้า)

เป็นโปรแกรมการฉายหนังเกี่ยวกับเด็กพิเศษ บางเรื่องเราอาจจะเคยดูมาบ้างแล้ว บางเรื่องยังไม่เคยเห็นแม้ภาพโปสเตอร์ วันนี้ถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้ชมภาพยนต์คุณภาพ พร้อมๆกับการเยี่ยมชมหอศิลป์แห่งใหม่ในกรุงเทพไปด้วยเลย
มีโปรแกรมการฉายตามโปสเตอร์ด้านล่างนี้ค่ะ (งานนี้ฟรีตลอดจ้า!)
และยังมีการร่วมเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจอีกมากมาย
หากเสาร์-อาทิตย์หน้า (5-7,11-13 มิ.ย.นี้)ใครยังไม่มีโปรแกรมที่จะไปไหน ลองวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นะคะ
หาไม่ยากค่ะ หอศิลป์กรุงเทพตั้งอยู่ใจกลางเมืองแยกปทุมวัน (มาบุญครอง) นี่เองค่ะ เดินทางสะดวกทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า น่าจะลองแวะไปดูนะคะ ^_^


give us space เปิดใจรับความต่าง เปิดพื้นที่ให้แก่กันในปรากฏการณ์พิเศษกับ 10 ภาพยนตร์พิเศษ และ 4 ภาพยนตร์สั้นที่พิเศษกว่า
สุดยอดโปรแกรมภาพยนตร์ที่คุณต้องไม่พลาด
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2552
เวลา 18.30 น. The eight day

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2552
เวลา 13.30 น. The chorus
เสวนาพิเศษในหัวข้อ "อคติกับการเปิดใจ...ไม่ด่วนสรุป"
เวลา 16.00 น. ดองกู หนูน้อยเรียกรอยยิ้ม
เวลา 18.30 น. What's eating gilbert grape

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2552
เวลา 13.30 น. Autism: The musical
เวลา 16.00 น. Marathon
เวลา 18.30 น. Mercury Rising

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2552
เวลา 13.30 น. รอบคุณครู My Piano พิเศษสุด เฉพาะรอบคุณครูเสวนาพิเศษในหัวข้อ "ทัศนคติกับทางเลือกของคนเป็นครู"
เวลา 18.30 น. Martian Child

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2552
เวลา 13.30 น. การอบรมเชิงปฏิบัติการ "ความแตกต่างอย่างกลมกลืน"
เวลา 18.30 น. My Piano

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2552
เวลา 13.30 น. Her name is Sabine
เสวนาพิเศษในหัวข้อ"ความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวกับการเยียวยาคนที่มีความต้องการพิเศษ"
เวลา 16.00 น. 4 ภาพยนตร์สั้นที่พิเศษกว่า...
เรื่องที่ 1 เด็ก
เรื่องที่ 2 โอเร่
เรื่องที่ 3 ศึกษาพันธุ์
เรื่องที่ 4 เพื่อนกัน
วันที่ 5-7 และ 11-13 มิถุนายน 2552 ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
สอบถามข้อมูลและสำรองที่นั่งได้ที่ 081-689-0074
www.art4human.com *ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันนี้เอาเรื่องเกี่ยวกับ การนั่ง ทำงานมาฝากครับ


นั่งนานๆ มีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

เพราะยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล จึงทำให้การทำงานต่างๆ ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานเป็นหลัก ด้วยความสะดวกสบายนี้จึงทำให้หลายคน โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยทำงานที่มีมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ เพื่อต้องการเคลียร์งานให้เสร็จแต่หารู้ไม่ว่าการนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ เกิน 1 ชั่วโมงโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลัง ก้นกบ สะโพก และขาเกร็ง รวมไปถึงข้อ เส้นเอ็น และอวัยวะภายใน ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามมาดร.แพทริก อิริคสัน ไคโรแพรคเตอร์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ประจำคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก กล่าวว่า อาชีพที่เสี่ยงเป็นโรคปวดหลังมากที่สุดก็คือ นักกราฟฟิกดีไซน์ พนักงานคีย์ข้อมูล และนักบัญชี ซึ่งบุลคลเหล่านี้มักใช้เวลานั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน บางครั้งถึงกับข้ามคืนเลยก็มี ที่แย่ไปกว่านั้นยังมีวิธีการนั่งแบบผิดลักษณะท่าทางนอกจากนั้นยังมีการใช้เก้าอี้ไม่ตรงกับสรีระจึงทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมาได้ ซึ่งการปรับเก้าอี้ จัดวางคอมพิวเตอร์ และจัดองค์ประกอบต่างๆ จะช่วยทำให้การนั่งทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีหัวใจหลักๆ 3 ข้อดังต่อไปนี้โต๊ะทำงาน และเก้าอี้ควรปรับพนักเก้าอี้ของคุณให้เอียง 100-110 องศา ควรปรับพนักเก้าอี้ขึ้นลงให้เหมาะสม หากมีหมอนเล็ก ๆ ก็ควรนำมาพิงหลังหากจำเป็น เพื่อให้หลังตั้งตรง หรือหากเก้าอี้ทำงานมีระบบปรับหลังพนักพิงให้ปรับตำแหน่งเก้าอยู่เสมอ ให้พนักพิงสามารถรองรับช่วงโค้งของกระดูกสันหลังช่วงเอวได้ดี ปรับที่วางแขนเพื่อให้ไหล่อยู่ในท่าที่ผ่อนคลาย หากที่วางแขนทำให้ทำงานไม่ถนัดก็ควรถอดออกควรปรับระดับความสูงของเก้าอี้ เพื่อให้ขาของคุณถึงพื้น และทำให้เข่าขนานหรืออยู่ในระดับต่ำกว่าสะโพกเพียงเล็กน้อย และควรวางสะโพกให้ไกลจากคอมพิวเตอร์ ก็จะสามารถป้องกันอาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ได้ปรับระยะห่างของช่วงโต๊ะไม่ควรให้ชนกับต้นขา ควรนั่งให้ระยะของขาตั้งฉากกับเก้าอี้ และควรปรับเบาะเก้าอี้ให้ได้ระดับการตั้งฉาก 90 องศาของเข่านอกจากนั้นควรจะมีที่พักเท้ารองใต้เท้าเพื่อไม่ให้เท้าลอยขึ้นมาจากพื้น เมื่อปรับเบาะให้อยู่ในระดับเดียวกับความสูงของเก้าอี้แล้ว ควรจะหาอะไรมารองเพื่อให้ช่วงเข่าและเท้าผ่อนคลาย
การจัดวางตำแหน่งของแป้นพิมพ์ หรือ คีย์บอร์ดควรดึงถาดวางคีย์บอร์ดให้เข้ามาอยู่ใกล้ ๆ กับคีย์บอร์ด และวางให้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ข้างหน้า ดูว่าส่วนใดของคีย์บอร์ดที่ใช้งานบ่อยมากที่สุด ให้ปรับส่วนที่ใช้งานบ่อย ๆ นั่นให้มาอยู่ตรงกลาง ควรปรับความสูงของคีย์บอร์ดเพื่อให้ไหล่สามารถผ่อนคลาย ให้ข้อศอกอยู่ในลักษณะอ้าออกเล็กน้อยประมาณ 100-110 องศา ควรให้ข้อมือ และมืออยู่ในลักษณะตรง ถ้าหากแขนและข้อศอกสามารถตั้งฉาก 90 องศา ได้ก็จะทำให้ไม่เกิดอาการเมื่อยบริเวณแขนได้ระดับของคีย์บอร์ดควรขึ้นอยู่กับการนั่งของคุณ หากนั่งอยู่ด้านหน้าหรือลักษณะตรง พยายามวางตำแหน่งคีย์บอร์ดให้ห่างจากตัวไปอีกทางหากเอนตัวนอนเวลาพิมพ์งาน ก็ควรให้ตำแหน่งของคีย์บอร์ดอยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง เพื่อให้ข้อมืออยู่ในลักษณะตั้งตรง ที่วางข้อมืออาจจะช่วยทำให้คุณอยู่ในท่าที่เหมาะสมได้ ที่วางข้อมือควรใช้เป็นที่พักฝ่ามือจากการพิมพ์งานเท่านั้น ไม่ควรใช้ที่วางข้อมือในขณะที่พิมพ์งาน และไม่ควรใช้ที่วางข้อมือที่กว้างมากเกินไป หรืออยู่ในระดับที่สูงกว่าคีย์บอร์ด เพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณแขนล้าได้การวางเมาส์ควรวางให้ใกล้กับคีย์บอร์ดมากที่สุด และวางบนพื้นผิวที่เรียบลาดเอียงเล็กน้อย หรือใช้เมาส์วางบนที่วางเมาส์ แผ่นรองเมาส์ ก็อาจจะช่วยทำให้เมาส์อยู่ใกล้ตัวขึ้นได้หากไม่สามารถวางคีย์บอร์ดที่สามารถปรับได้ อาจจะต้องปรับระดับความสูงของโต๊ะทำงาน ความสูงของเก้าอี้ หรือใช้หมอนรองนั่งแทน เพื่อให้คุณนั่งได้สบายมากที่สุด ไม่ควรยกหัวไหล่เมื่อพิมพ์งาน ควรผ่อนคลายบริเวณบ่า และไหล่ให้มากที่สุดการจัดวางจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องควรปรับจอภาพด้านบนสุด ให้อยู่ในแนวเดียวกับระดับสายตา ควรวางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่เหนือคีย์บอร์ด และอยู่ตรงหน้า ตรงกับระดับสายตาในขณะที่นั่งประมาณ 2-3 นิ้ว ควรนั่งให้แขนห่างจากหน้าจอให้ยาวที่สุด และควรปรับระยะการมองเห็น พยายามหลีกเลี่ยงการเพ่งจ้องคอมพิวเตอร์ โดยการวางตำแหน่งจอให้เหมาะสม ถ้าจะให้ดีควรจะมีแผ่นกรองแสงเพื่อป้องกันการเสื่อมของตาด้วยปรับมุมจอคอมพิวเตอร์ในแนวตั้ง และปรับอุปกรณ์ควบคุมจอเพื่อลดการมองแสงที่ออกจากคอมพิวเตอร์ หรือควรปรับม่านหากมีแสงสว่างมากจนเกินไปทำให้มองไม่เห็นจอคอมพิวเตอร์อย่างไรก็ตามการนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวด เมื่อย หรือ กล้ามเนื้อเกร็งได้ แม้ว่าจะมีการจัดวางตำแหน่งของคอมพิวเตอร์ ปรับเก้าอี้ พนักพิง และการนั่งที่ถูกต้องแล้ว แต่การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้การไหลเวียนของเลือดหยุดชะงัก และทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้ ซึ่งการหยุดพักและผ่อนคลายเป็นวิธีป้องกันได้ดีที่สุด โดย ดร.แพทริก อิริคสัน ได้ให้คำแนะนำถึงวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กับพนักงานออฟฟิศง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติได้จริง ดังนี้ควรจะพักบริหารร่างกายสัก 1-2 นาที ในทุก ๆ 20-30 นาที หลังจากที่นั่งทำงานในแต่ละชั่วโมงเพื่อให้ร่างกาย และกล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย พยายามหางานอย่างอื่นทำแทนในขณะที่หยุดพัก หรือจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้น บิดตัวไปมา ก็อาจจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายมากขึ้นควรพักสายตา อย่างน้อย 5 นาที หลังจากที่จ้องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เนื่องจาก แสง และรังสีต่างๆ ที่ออกจากจอ อาจทำให้ตาเมื่อยล้า และทำให้สายตาสั้นลงได้ ควรจะพักสายตา โดยการหลับตา หรือ มองไปบริเวณรอบๆ เป็นระยะๆ หากรู้สึกปวดตา ให้มองไปบริเวณที่มีสีเขียว ก็อาจจะทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น ไม่ควรจ้องมองไปที่แสงสว่าง หรือที่มีแดดจ้าหากรู้สึกเมื่อย ก็ให้หยุดพัก ออกไปเดินสูดอากาศข้างนอก ล้างหน้า เพื่อเพิ่มความสดชื่น อย่าฝืนนั่งทำ เพราะอาจจะทำให้เสียสุขภาพ

เรื่องฮา จาก forward mail (ที่ห้ามส่งให้หัวหน้า )

ได้มาอีกแล้วเรื่องฮา จาก forward mail (ที่ห้ามส่งให้หัวหน้า )
แต่คิดว่าเป็นเรื่องขำขำ ที่เอาไว้อ่านคลายเครียดละกันนะคะ
ชายคนหนึ่งไปซื้อนกแก้วที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงเห็นนกแก้วตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และเคาะแป้นคีย์บอร์ดอยู่จึงเกิดสนใจถามคนขายว่านกแก้วตัวนั้นราคาเท่าไหร่
ชายคนนั้น : ลุงๆไอ้ตัวนั้นราคาเท่าไหร่
คนขาย : 15 , 000 บาท
ชายคนนั้น : แล้วมันทำไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ใช้ window,mac,unix แล้วก็พวกซอฟแวร์ office ต่างๆ
ชายคนนั้น : แล้ว ไอ้ตัวข้างๆมันล่ะ
คนขาย : 25 , 000 บาท
ชายคนนั้น : โอ้โห อย่างนี้มันคงเขียนโปรแกรมได้ด้วยมั้ง ( หัวเราะ)
คนขาย : ก็ใช่ แถมมันยังดูแล server แล้วก็เขียนโปรแกรมจัดการกับ Database ของร้านได้ด้วยนะ
ชายคนนั้น : แล้วไอ้ตัวนั้นล่ะ ตัวที่มันนั่งเฉยๆอยู่ข้างหลังน่ะ (ชี้ไปที่นกอีกตัว) มันทำอะไรได้บ้างล่ะ
คนขาย : ไอ้ตัวนั้นอ่ะนะ วันๆผมไม่เห็น มันทำอะไรเลย นอกจากแหกปากด่าไอ้สองตัวที่นั่งอยู่หน้าคอมอยู่นั่นแหละ ผมโคตรรำคาญมันเลยคุณ
ชายคนนั้น : แล้วมันราคาเท่าไหร่ล่ะ
คนขาย : 100,000 บาทชายคนนั้น : เฮ้ย ทำไมล่ะ
คนขาย : ผมก็ไม่รู้ แต่เห็นไอ้ 2 ตัวนั้น เรียกมันว่า หัวหน้า !!!
อ่านเพลินๆนะ อย่าคิดมาก!!!

Forwardmail ที่ได้มาจากเพื่อนอีกทีหนึ่ง..... ดีน่ะ

-->ความรู้มากๆๆ บางทีเหมือนกำแพงอิฐที่เรียงตัวสูง ความรู้สูง กำแพงสูง ความรู้รอบด้าน ก็เหมือนกำแพงสูงรอบตัว บางครั้งมันอาจทำให้มองออกไปไม่เห็นอะไร นอกจากอิฐที่ตนเอง ก่อขึ้นมา
-->กลิ่นของความรัก ก็เช่นเดียวกับห้องน้ำ เข้าไปแรกๆๆจะรู้สึกว่าได้กลิ่น อยู่ในนั้นนานๆๆ ไปจะเคยชิน จนลืมว่ามีกลิ่นนั้นอยู่ จนกว่าจะออกมาจากบริเวณนั้น และกลับเข้าไปใหม่
-->
ถ้าเรารักใครซักคน เราควรเปิดโอกาสให้เค้าได้ทำผิดหลายๆๆครั้ง เพราะเราเองก็ต้องการโอกาสอย่างนั้นเช่นกัน
-->อย่าบอกเลยว่าเป็นคนดี ความหยิ่งยโส ก็มีอยู่ในคนถ่อมตัว ครูที่สอนนักเรียน ก็มีความโง่ ซ่อนอยู่ ความขลาดกลัว ก็มีอยู่ในนักมวยแชมป์โลก ความเบื่อหน่าย ก็มีอยู่ในพนักงานที่ต้อนรับที่กระตือรือร้น ความเห็นแก่ตัว ก็มีอยู่ภายในใจของนักสังคมสงเคราะห์ มันอยู่คู่กัน รอวันปรากฏตัวออกมา
-->ถ้าสันดานห่วยๆๆ มันเป็นกระดาษ เรามีแค่หินทับกระดาษคนละก้อน ลมกิเลสพัดมา ก็ขึ้นกับว่าก้อนหินของใครก้อนใหญ่พอที่ทับมันไว้ ไม่ให้ปลิวเพ่นพ่านเท่านั้นเอง..

15 เรื่อง ที่ทำให้เพื่อนร่วมงาน รำคาญใจ





การทำงานกับเพื่อนร่วมงานมากมายในห้องทำงานที่เปิดโล่งย่อมมีสิ่งรบกวนมากมายถ้าไม่ได้เพื่อนร่วมงานที่ดี และหงุดหงิดอารมณ์เสียเมื่อเพื่อนร่วมงานเปิดเพลงเสียงดังรบกวนอยู่ข้างๆ บางคนก็พูดโทรศัพท์เสียงดังทั้งวัน ฯลฯ ช่างไม่รู้จักเกรงใจผู้ร่วมงานคนอื่นๆ บ้างเลย นี่คือปัญหาของห้องทำงานใหญ่โตที่รวมพนักงานหลากหลายไว้ด้วยกัน และคงต้องทนกันไปเมื่อต้องเจอเพื่อนร่วมงานจอมกวน หากคุณไม่อยากเป็นคนที่น่ารังเกียจในที่ทำงาน ก็ควรระวังไม่ทำนิสัยที่ก่อความรำคาญหรือก่อความเครียดให้เพื่อนร่วมงาน


1. คุยโทรศัพท์ส่วนตัวเสียงดัง คุยได้คุยดีจนนึกว่าออฟฟิศเป็นบ้าน วันๆ ไม่ห่างจากโทรศัพท์มือถือ นอกจากจะคุยเสียงดังแล้ว ยังทำให้เพื่อนร่วมงานต้องรอคอยงานจากเขาหรือเธอ หรือหาจังหวะเข้าไปซักถามเรื่องงานที่คั่งค้างไว้ไม่ได้ ส่งผลให้งานล่าช้าไปอีก

2. ปริ้นเอกสารส่วนตัวหรือข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่ไม่จำเป็นบ่อยมาก จนไปบล็อกงานเอกสารของคนอื่นๆ ที่จำเป็นเร่งด่วน

3. ไม่ยอมล้างถ้วยล้างชามสักใบ เพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ เป็นหน้าที่ของแม่บ้านประจำออฟฟิศ บางครั้งจานชามกองเป็นพะเนินส่งกลิ่นเหม็นในวันรุ่งขึ้น เพราะไม่ได้เทอาหารที่เหลือค้างลงถังขยะเสียก่อน

4. ใช้น้ำหอมกลิ่นแรงฟุ้งไปทั่วออฟฟิศ อย่าลืมว่าเพื่อนร่วมงานบางคนแพ้น้ำหอมกลิ่นฉุนๆ ก็มีนะ ไม่จำเป็นต้องฉีดน้ำหอมเผื่อแผ่คนอื่น

5. ตัดเล็บและทำเล็บในที่ทำงาน อย่าลืมว่าอยู่ในที่ทำงานนะ ไม่ใช่อยู่ที่บ้าน

6. ขโมยปากกา เพราะคิดว่าของที่อยู่บนโต๊ะใครก็ตามในห้องออฟฟิศก็เป็นของใช้ของทุกคน อย่ามีพฤติกรรมเยี่ยงนี้เพราะเจ้าของก็ต้องการใช้เหมือนกัน

7. คุยและวิจารณ์เสียงดังเกี่ยวกับงานทุกขั้นตอน เหมือนตาแก่ยายแก่ จุกจิกขี้บ่น หัดสงบจิตสงบใจเสียบ้าง คนข้างๆ ทนรำคาญจะแย่แล้ว รู้ตัวบ้างมั้ย

8. เข้าห้องประชุมสายเป็นประจำ สงสัยไม่เคยพกนาฬิกาจึงไม่รู้จักเวล่ำเวลาไม่เกรงใจคนอื่นที่รอประชุม

9. อวดรู้ไปทุกเรื่อง ไม่ว่าใครจะพูดคุยอะไรก็จะต้องสอดแทรกอวดรู้ เหมือนคนอวดภูมิความรู้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครถาม เพื่อนร่วมงานเอือมจะแย่แล้ว

10. ป่วยไข้ เป็นไข้หวัดใหญ่ก็ยังแสดงความเป็นฮีโร่หอบสังขารมาทำงาน แล้วก็แพร่เชื้อไวรัสให้เพื่อนร่วมงานซะงั้นแหละ ทีหน้าทีหลังหากป่วยไข้ก็ควรพักผ่อนอยู่กับบ้านนะ ไม่ต้องแสดงความขยันผิดเวล่ำเวลา

11. ชอบพูดคุยระหว่างประชุม โดยหารู้ไม่ว่าคนอื่นเขาอยากฟังเรื่องในที่ประชุมเพื่อไม่ให้พลาดข้อมูล รู้จักกาลเทศะบ้าง ก็จะดีแก่ตัวคุณเอง

12. ไม่เคยตอบตรงคำถาม เวลาเพื่อนร่วมงานต้องการความจริง พูดอ้อมไปอ้อมมาจนหาความจริงไม่เจอ หรือกว่าจะตอบตรงคำถามก็ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด จนคนฟังรำคาญใจที่ตอบไม่ตรงประเด็นเสียที

13. จ้องแต่หน้าจอคอมฯ เพื่ออ่านอีเมล์เวลาเพื่อนร่วมงานมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับงาน หัดมีมารยาทหันมามองหน้าเพื่อนร่วมงานเวลาคุยธุระเกี่ยวกับการงานด้วยนะ

14. เปิดเพลงเสียงดังรบกวนสมาธิผู้ร่วมงาน เมื่อโดนต่อว่าก็ย้อนว่าทำไมไม่เอาหูฟังมาปิดหูไว้ เออ เป็นงง ทำไมตัวเองไม่รู้จักเอาหูฟังมาเปิดเพลงฟังคนเดียวล่ะ คนอื่นต้องอุดหูตัวเอง เพื่อคุณงั้นหรือ เซ็งอ่ะ

15. ชอบผูกขาดการพูดคุย ไม่ค่อยชอบฟังคนอื่นพูด เจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ก็ทำให้อยากหนีห่างๆ หรือต้องยกมือขอพูดบ้าง อย่าพูดคนเดียวสิ......

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ใครอยากไปกินโคขุนบ้าง !!!

ช่วงนี้กระแสอาหารปิ้งย่างอย่างโคขุนกำลังมาแรง
ใครที่เคยผ่านไปแถวซ.นวลจันทน์ คงจะเคยได้ลิ้มรสเจ้าต้นตำรับมาบ้างแล้ว
วันนี้เลยอยากจะแนะนำร้านโคขุนแถวถ.รัตนาฯ ใกล้ๆที่ทำงานของเรานี่เอง
(ยั่วน้ำลายกันเฉยๆนี่แหละ)ชื่อร้านบ้านสวนโคค่ะ ทางไปก็ไม่ยาก มุ่งหน้าตรงไปสะพานพระนั่งเกล้าฯ พอลงจากสะพานก็ชิดซ้ายออกทางคู่ขนาน สังเกตป้ายปั๊มเอสโซ่ เมื่อเห็นแล้วให้ชลอรถชิดซ้าย (เพราะร้านนี้อยู่ก่อนถึงปั๊มนิดเดียว)สามารถเลี้ยวซ้ายเข้ามาจอดรถด้านในได้ (ไม่ต้องจอดติดถนน) น่าจะหากันได้ไม่ยากนัก
สำหรับใครที่ไม่ทานเนื้อวัว ร้านนี้เค้าก็มีปลาหมึก กุ้ง(มากมายแบบในรูปนี้แหละ) ไว้ให้เลือกเพียบ
ชักจะหิวแล้วหล่ะซิ เดี๋ยวแถมเมนูให้ลองประเมินงบกันเล่นๆก่อนไปลองของจริงอีกรูปละกัน










แล้วร้านนี้ยังมีของหวานเป็นไอศครีมนมรสนุ่มลิ้นอีกต่างหาก
ถ้าใครสนใจอยากไปลองลิ้มชิมรส ก็โทรไปสอบถามได้นะคะ (089-8951563)
เดี๋ยวขอตัวไปกินมาม่าก่อน ส่วนโคขุนคงต้องรอสิ้นเดือนนะ^_^

" ลูกค้า "

ถ้าไม่เขียนถึงลูกค้าเลย คงเป็นเรื่องที่แปลก เพราะลูกค้ามีส่วนช่วยสนับสนุนค้ำจุน และเติบโหญ่เจริญก้าวหน้า ควบคู่มากับเรา ลูกค้าก็นับว่าเป็นเทพเจ้า เป็นเทวดา สำหรับผมจนถึงทุกวันนี้ ก็มีข้อสรุปในหมู่เทพทั้งหลายนี้ มีทั้ง
"เทพ" ที่ประเสริฐเลิศเลอ
"เทพ" ทีมีคุณธรรม
"เทพ" ที่โกหกมดเท็จ
"เทพ" ที่เอารัดเอาเปรียบ มีสันดานคดโกง
"เทพ" ที่ร่ำรวยมหาศาล แต่ขาดรสนิยม
เป็นสถาปนิกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้ได้ คือ มีสติ ไม่ตื่นเต้น กับความมีบุญญาธิการทั้งหลายของ "เทพ" เหล่านั้น ในวิชาชีพของพวกเรานั้นอย่าหวังว่าจะเอาอะไรมาฟรีๆ โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ถึงเขาจะร่ำรวยสักแค่ไหน ถ้าเราจะเอาประโยชน์จากเขา เราต้องทำงาน ต้องเหน็ดเหนื่อย เพื่อแลกกับค่าตอบแทนในรูปของค่าจ้างค่าออกแบบ ลูกค้านั้นมีหลายประเภทจริงๆ จึงมาเหล่าสู่กันฟ้ง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับสถาปนิกรุ่นหลังได้ทราบ เพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นเต้นเพราะวันหนึ่งเส้นทางแห่งวิชาชีพนี้จะต้องได้เจอะเจอแน่นอน

ลูกค้าประเภทที่หนึ่ง เป็นเทพเจ้าที่แท้จริงคนประเภทนี้เข้าใจการทำงานของสถาปนิก เข้าใจขั้นตอนของการประกอบวิชาชีพของสถาปนิก รู้จักการเลือกใช้สถาปนิก รู้ว่าสถาปนิกแต่ละคนมีความชำนาญการไม่เหมือนกัน เคารพในความคิด ในผลงานที่นำเสนอ นอกจากนี้ เขายังเข้าใจในระบบธุรกิจที่ต้องจ่ายค่าบริการวิชาชีพ ลูกค้าประเภทนี้หาได้ยากยิ่งในสังคมไทย ซึ่งขอยกไว้ใน "Hall of fames" ที่ต้องจารึกไว้ตลอดไป

ลูกค้าประเภทที่สอง เป็นผู้ที่พึ่งร่ำรวยขึ้นมาใหม่ๆ เรียกว่า"เศรษฐีใหม่"มีธุรกิจที่ไหลมาเทมา ชนิดที่เรียกว่าต้องเรียกสถาปนิกไปคุยว่าจะเอาเงินมาทำอะไรกันดี ทำอะไรก็แล้แต่ทุกอย่างต้องหรูหราสุดๆ ต้องทันสมัยสุดๆ คำว่าทันสมัยของเขาคือ "ฆ่า" สถาปนิก เพราะสถาปนิกหลายๆ คนเข้าใจผิดไปจากความนึกฝันของลูกค้าประเภทนี้ ไปมาก คำว่า "ทันสมัย" ของเขาก็เป็นเพียงบ้านสไตล์โรมันหลังธรรมดาๆหลังหนึ่งเท่านั้นเอง ลูกค้าประเภทนี้เป็นลูกค้าที่ยากจะเข้าใจ เข้าถึงจิตใจสำนึกของเขาได้ เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง รสนิยมความคิดอ่านก็ยังไม่ได้รับการขัดเกลา ยังตามไม่ทันแก้วแหวนที่มีอยู่มากมายมหาศาล เคารพนับถือหมอดูชินแส มากกว่า "สถาปนิก" ลูกค้าประเภทนี้เป็นประเภทที่ต้องระวังอีกประเภทหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ลูกค้าประเภทนี้ก็ไม่เข้าใจว่ามาใช้สถาปนิกแล้วจำเป็นต้องจ่ายค่าบริการด้วยหรือ บางครั้งก็โบ้ยไปเลยว่าให้ไปเอาเงินค่าแบบกับผู้รับเหมาก็ได้นี่นา

ลูกค้าประเภทที่สาม เป็นกลุ่มของนักการเมือง ข้าราชการตำรวจ ฯลฯ อย่าพึ่งตกใจว่าทุกคนจะไม่ดีไปเสียหมด เพียงแต่หยิบยกมาให้เห็นสัจธรรม ทำความเข้าใจในลูกค้าที่อยู่ในสายของนักการเมือง ข้าราชการ ตำรวจ ฯลฯ เพราะท่านเหล่านี้ ตลอดชีวิตของการทำงานท่านไม่เคยที่จะต้องลงทุน มีแต่คนคอยหยิบยื่นประโยชน์มาให้ จะลงทุนอะไรก็ต้องให้ได้สิ่งตอบแทนกลับคืนมาอีกเป็นทวีคูณ การที่ต้องจ่ายค่าแบบให้สถาปนิกเป็นเรื่องยากเย็น แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องทำงานกับท่านเหล่านี้ก็ควรรู้จักท่านไว้เสียแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ผิดหวังในภายหลัง

ลูกค้าประเภทที่สี่ เป็นลูกค้าประเภทคุณหญิงคุณนายที่ใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าอยู่ในสังคม มีหน้ามีตาพบเห็นได้ในหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกวัน ภาพพจน์ที่ออกมาสู่คนทั่วไปมักเป็นผู้มีจิตใจดี โอบอ้อมอารี ช่วยเหลือสังคม ทำบุญกุศลไม่เคยขาด แต่เบื้องลึกแล้วลูกค้าประเภทนี้มีชีวิตแวดล้อมด้วยการเสแสร้ง ไม่จิงใจ การใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในสังคมแบบลวงๆ เมื่อได้สนทนาด้วยจึงทราบว่าท่านเหล่านี้จิตใจยังหมกมุ่นอยู่ในชีวิตเพ้อๆ ฝันๆ เอาเข้าจริงๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรที่แท้จริง พูดจาสับสนเป็นปัญหากับสถาปนิกทุกคนที่เข้าไปทำงานด้วย ท่านเหล่านี้เป็นสตรีที่สูงอายุ เจนโลก มากด้วยประสบการณ์ มีข้าทาสบริวารห้อมล้อมมากมาย จนคิดว่าตัวเองนั้นมีอำนาจ สามารถบงการผู้คนที่เข้ามาติดต่อรับใช้รอบๆ ตัวได้ สถาปนิกก็เป็นกลุ่มวิชาชีพหนึ่งที่มีโอกาสต้องเข้าไปเกี่ยวพันด้วย ถ้ามีโอกาสก็ควรทำความเข้าใจในตัวของท่านเหล่านี้ ต้องใช้จิตวิทยาค่อนข้างสูง ต้องสงบปากสงบคำในบางเวลา ถ้าอดทนได้ก็ทำงานให้สำเร็จได้แน่นอน

ลูกค้าประเภทที่ห้า เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องนำมาพูดถึง คือ "นักบริหารคลื่นลูกใหม่" หรือเรียกว่า "Young Executive" ก็ได้ ลูกค้าประเภทนี้เป็นลูกค้าอยู่ในวัยหนุ่มสาว อายุประมาณ 25-45 ปีพื้นฐานเป็นคนมีความรู้ดี ด้วยมีโอกาสทางการศึกษามาจากสถาบันชั้นดีระดับโลกนับได้ว่าเป็น
" New Generation" ขององค์กรต่างๆ พ่อแม่เป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นนายทุนผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สถาปิกต้องเข้าไปทำงานกับกลุ่มลูกค้าประเภทนี้ หน้าที่ของสถาปนิกก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ ให้โอกาสที่จะประสานแนวความคิดตางๆ ให้เข้ากันได้ ลูกค้ประเภทนี้ยังขาดประสบการณ์ ในเชิงบริหารจัดการและในเชิงที่จะต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ใช้ดุลยพินิจของตัวเองมากเกินไปจนอาจเกิดความเสียหายได้ สถาปนิกอาจต้องแสดงบทบาทหน้าที่ ให้คำอธิบายชี้แจ้งให้เข้าใจการแก้ปัญหาต่างๆ มีสถาปนิกอาวุโสมากมายที่ยอมแพ้กับ "Young Executive" รุ่นใหม่เหล่านี้ จนต้องเลิกราวิชาชีพนีไปก่อนเวลาอันควรก็มี

ลูกค้าอีกประเภท ที่ยกให้เป็นประเภท "พิเศษ" เพราะเป็นลูกค้าที่ "ห่มผ้าเหลือง" ลูกค้าประเภทนี้เป็นพระภิกษุ ที่มีความใฝ่ฝันอยากสร้างงานสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าไว้ค้ำจุนโลก ไว้เป็นมรดกของชาติ ของลูกหลานต่อไปในวันข้างหน้า สถาปนิกต้องตั้งสติให้ดี พินิจพิจารณาลูกค้าพระภิกษุรูปนั้นให้ถ่องแท้ว่าจริงๆ นั้นท่านมีเจตนาอะไร เป็นประเภทสร้างโครงการขึ้นมาเพื่อนำไปหารายได้เรี่ยไรชาวบ้าน หรือท่านมีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะทำนุบำรุงศาสนาสร้างศาสนสถานให้เป็นที่สักการะบูชา เมื่อพบลูกค้า เช่นนี้ ขอให้ใช้เวลาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มีใครรู้ความหมายของ Teem บ้างคะ?

ที่เกิดคำถามนี้ขึ้นมา ไม่ได้มีความนัยอะไรหรอกค่ะ
เพราะด้วยหน้าที่ที่ต้องสื่อสารกับบุคคลภายนอกตลอดเวลา
ทั้งเซลส์,พนักงานส่งของ,ลูกค้า ฯลฯ มักจะเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับชื่อบริษัทของเราบ่อยๆ
บ้างก็จ่าหน้าเอกสารผิดๆถูกๆ บ้างก็เรียกผิด ว่า
"Team studio design" เหมือนทีมฟุตบอลหรือเปล่า?
"Theme studio design" แบบนี้เป็นแบบมีแก่นสาร มี concept?
"Teem stereo" นี่ยิ่งงง เปลี่ยนธุรกิจให้เลยซะงั้น?

มีใครเคยสงสัยบ้างมั้ยคะ ว่าจริงๆแล้ว Teem หมายความถึงอะไร
วันนี้คงจะได้ถึงบ้างอ้อกันซะที ก็เลยลองเปิด dictionary ดู คำว่า " Teem "
แปลว่า เต็ม หนาแน่น คับคั่ง (น่าจะพอเดากันได้แล้วใช่มั้ยคะ ว่าหมายถึงอะไร)
แต่ด้วยความที่อยากจะสื่อสารให้พี่ๆน้องๆชาว TSD ได้ทราบอย่างถูกต้อง
เลยไปสืบข้อมูลมาเพิ่มเติมค่ะ จากผู้ออกแบบและวางแนวคิด Teem นี้ค่ะ
มีความหมายในเชิงลึกซึ้งทั้งทางภาษา และความนัยที่ซ่อนอยู่ หมายความว่า
เต็ม หลากหลาย (ไม่ต่างจากที่เปิด dictionary มา) แต่ก่อนที่จะเต็ม
มันต้องมีส่วนประกอบมาเติมให้เต็ม ก็คือ ผู้คนที่หลากหลาย มีความฝันที่หลากหลาย
มาร่วมกันเติมเต็มบนเส้นทางเดียวกัน ด้วยกัน ก็คือเราๆท่านๆ ที่กำลังนั่งอ่าน blog
อยู่นี่แหละค่ะ นึกๆแล้วเหมือนครอบครัวหนึ่งนะคะ ที่ต้องมีพ่อ เป็นผู้นำ มีแม่มีลูก ถึงจะเรียกได้ว่า
เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ เราเองพอถึงเวลาที่ใครบางแผนกไม่มาทำงานมันเหมือน
อะไรก็ติดขัดไปเสียหมด เหมือนแม่ไม่อยู่บ้านแล้วไม่มีใครทำกับข้าวให้กิน อะไรประมาณนี้
แล้วมันจะรู้สึกหวิวๆกันบ้างมั้ย ไม่มีคนคอยให้คำตอบหรือช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่าง
จริงๆแล้ว เราแทบจะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้เลยนะ ลองนึกดูดีๆซิคะ
ร่ายมาซะยาวเลย จริงๆแล้ววันนี้ตั้งใจจะเขียน Teem signature นะเนี่ย
ว่าจะเขียนถึงความสำคัญและหลักในการสร้าง Brand ซะหน่อย มาต่อกันเลยนะคะ
อ่านจากในหนังสือ Brand signature (สนใจยืมได้ที่พี่ปูค่ะ แต่ต้องให้หนูอ่านจบก่อนนะ เพิ่งอ่านไปไม่กี่หน้าเอง555+)

ว่ากันในเรื่องหัวใจของการสร้าง Brand
มีหลักในการคิดอยู่ 5 ประการด้วยกัน (เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะเป็นเจ้าของกิจการในอนาคตค่ะ)
1.ชื่อ (Name)
นำเสนอความหมายในชื่อนั้น และหาวิธีให้ชื่อนั้นเป็นที่จดจำ คือต้องจำง่าย และสามารถสื่อสารแบรนด์นั้นๆได้อย่างถูกต้อง เช่น K-Bank หมายถึง ธนาคารกสิกรไทย, SCB หมายถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น
อย่าง Teem Studio Design หรือ TSD ชื่อบ่งบอกว่าเป็นบริษัทออกแบบ และยังเรียกชื่อย่อได้จากอักษรตัวหน้าของชื่อเต็มอีกด้วย
2.โลโก้/สัญลักษณ์ (Logo/Symbol)
ไม่มีหลักที่แน่นอนตายตัว ปัจจุบันสามารถยื่ดหยุ่นได้ แต่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องนำโลโก้มาจัดวางในสื่อต่างๆไม่ให้ดูขาดๆเกินๆ เช่น โลโก้บางแบรนด์ถูกวางลงบนหัวกระดาษจดหมายแล้วดูดี แต่กลับดูขาดๆเกินๆ เมื่ออยู่บนลังกระดาษ เป็นต้น ส่วนโลโก้ของเราถูกพัฒนามาจากของเดิม ผสมผสานกับของใหม่ อย่างรูปตัว t สีแดง ถูกนำมารวมกับตัวอักษรชื่อบริษัท ดูเรียบง่ายและลูกค้าจะจดจำเราได้จากโลโก้ตัว t
3.สี (Color)
เรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคแห่ง Branding by Color สีสันมีส่วนช่วยให้แบรนด์โดดเด่น เป็นที่จดจำ สามารถสื่อสารถึงอารมณ์ เรื่องราวได้ และเป็นส่วนช่วยกำหนดแนวทางการพัฒนาสื่ออื่นๆอีกด้วย อย่าง Website สิ่งพิมพ์ ฯลฯ สีของเราเป็นสีที่เรียบง่ายอย่างขาว,แดง,ดำ เป็นสีพื้นที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ ยกตัวอย่างสติ๊กเกอร์ที่ข้างรถฟอร์ดและดีแมกซ์ ลองสังเกตดูสิคะ ว่าบนรถดีแมกซ์คำว่า Teem studio จะเป็นสีขาว
ในขณะที่รถฟอร์ดเป็นสีดำ
4.ประเทศ/แหล่กำเนิดของแบรนด์
เป็นปัจจัยส่งเสริมแบรนด์ให้น่าเชื่อถือได้ ในฐานะที่ส่งอิทธิพลทางใจ และความรู้สึกฝังใจของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ เช่น เชื่อว่าน้ำหอมที่ดีที่สุดต้องมาจากฝรั่งเศส เป็นต้น ข้อนี้ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับแบรนด์ของเราค่ะ
5.ตัวตน/บุคลิก (Personality)
เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบคู่แข่งและสำหรับผู้บริโภคใช้อ้างอิง ในยามที่ต้องการเลือกซื้อสินค้าที่สะท้อนบุคลิกที่เหมาะกับตัวเอง เช่น เมื่อ Teem Signature ถูกกำหนดให้มีบุคลิกแบบคนรุ่นใหม่ คิดนอกกรอบ ไม่ซ้ำซากจำเจ มีความสนุกสนานขี้เล่น แต่ยังตรงไปตรงมาและนอบน้อม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่แสดงออกจากปรัชญาการทำงานของเรา,CP2S3 มากมาย ที่เราเฝ้าวางรากฐานทางความคิดที่ดีเรื่อยมา และทุกท่านคงจะรู้กันอยู่แล้ว
เชื่อว่าชาว TSD ทุกท่านคงจะสนุกที่จะได้พัฒนาความคิดไปพร้อมๆกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มาเป็นส่วนหนึ่งของ Teem ด้วยกันนะคะ


การอ่านเป็นการเปิดโลกทัศน์ของใครหลายๆคน ทำให้มองในมุมที่แตกต่าง กว้างมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้นและยังแบ่งปันสู่คนอื่นๆได้อีกด้วย สำหรับ teemblog สามารถหยิบยกบทความที่ประทับใจและเห็นว่ามีคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่น มาใส่ใน blog แบบพี่เนศก็ได้ค่ะ สำหรับก้าวแรกของการเขียน blog ไม่บังคับว่าจะต้องมีสาระตลอดเวลา และนอกจากนั้น เรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เราพบเจอสิ่งต่างๆรอบตัว นำมา share กันได้หมดนะคะ
อยากให้ blog นี้ เป็นที่ share ทุกอย่าง ของพวกเราจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องงาน ชีวิต ความรัก หนัง เพลง ฯลฯ
เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ teemblog กันเถอะค่ะ เริ่มต้นก้าวแรกไปพร้อมๆกันค่ะ
ขอบคุณค่ะ


ปรัชญาของมด ที่น่าคิด

ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค ถูกปิดกั้นหนทาง มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆมันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ
ข้อคิด จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด

ปรัชญาที่ 2 มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู จะคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา
ข้อคิด จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต

ปรัชญาที่ 3 มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาว ท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันห์ มันจะเตือนตัวเองว่า " ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้ " เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด
ข้อคิด จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา

ปรัชญาที่ 4 ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้
ข้อคิด จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง

สรุป 1) อย่ายอมแพ้ 2) มองไปข้างหน้า 3) มองโลกในแง่ดี 4) ทำเต็มความสามารถ