วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รายชื่อบทความที่เข้ารอบ.."Design by creation"





มาแล้วค่ารายชื่อบทความที่เข้าชิงรางวัลประจะเดือน กุมภาพันธ์นี้


ชื่อผู้เข้ารอบ รายชื่อบทความ


1.มหานคร คอนโดกลางสาธรที่ แพงที่สุดในไทย //อั๋น อั๋น


2. บูคาริฟา สิ่งก่อสร้างที่สูงสุดบนโลกนี้ //นัท


3.6สิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้าง //นัท


4. สถาปัตยกรรมบาโรค// ฝ้าย


5.ทัชมาฮาล //เนต


6. ชีวิตติดดีไซน์ //อุ้มรัก


7.นักออกแบบเค้าคิดกันว่า //หมูน้อย


8.นครวัด พลังแห่งศรัธา// พี่ชาย


9.หลับสบายเหนือก้อนเมฆกับโรงแรมลอยฟ้า// เอกกี้


10. เบิร์จดู ตึกที่สูงที่สุดในโลก //พี่แจ๊ค



11.พระที่นั่งวิมานเมฆ //พี่ตั้ม


12.พระที่นั่งอนันตสมาคม //พี่ตั้ม


13.Go eating 72 restaurant & pub //พี่จิ


14. การออกแบบแสงสว่างห้องนอน เพื่อสร้างบรรยากาศโรแมนติก //พี่ก้อง


15.การทำโลจิสติกย้อนกลับ //พี่ก้อง


16.องค์กรมีดีไซน์เพื่อการแข่งขันแห่งทศวรรษ// พี่ก้อง


ทั้ง 16 บทความนี้ ใครจะได้เงินรางวัลไปครอง มาลุ้นกันนะจ๊ะ ย้ำอีกที งานเริ่ม หกโมงเย็น ในงานมีอาหารว่างและเครื่องพร้อมค่า เตรียมตัวให้ดี แล้วไป Enjoy the party กันทุกคนนะค๊า สวัสดีค่า

e at 72 Restaurant and Bar

LIFESTYLE*

GO EATING

e at 72 Restaurant and Bar




www.72ekamai.com
We Recommend กลับมาทักทายทุกท่านอีกครั้ง บอกตามตรงว่าตอนนี้ ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะทำงานเท่าไหร่ ก็แหมอากาศดีๆแบบนี้ อยากจะหาที่เที่ยวพักผ่อน หรือไปปาร์ตี้ให้สุดเหวี่ยงไปเลย พูดถึงปาร์ตี้แล้ว
สัปดาห์นี้เรามีร้านเก๋กู๊ดมาฝาก ขอบอกว่าที่นี่เหมาะสำหรับขา Hang Out เป็นที่สุด

ภายในอาณาบริเวณของโรงแรม 72 Ekamai เป็นที่ตั้งของร้านอาหารเทรนดี้ที่ชื่อ
e at 72 จากถนนสุขุมวิท 63 หรือเอกมัย ที่ขึ้นชื่อเรื่องความคับคั่งของการจราจร
และผู้คนแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ หากแต่พื้นที่แห่งนี้ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความ
สงบร่มรื่นที่ซ่อนตัวอยู่ ผสานกับเสน่ห์ของตึกเก่า ซึ่งประยุกต์มาเป็น Design Hotel
ในสไตล์โมเดิร์นผสมเรโทร ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของเล่นของสะสมแบบ
ย้อนยุคสำหรับเด็กหนุ่ม ถูกใจสระว่ายน้ำสีฟ้าสดใส กับบาร์ฮิพๆ ริมสระ รายล้อม
ด้วยโซฟาเบาะนุ่มสีดำแดงใต้ร่มไม้ เชิญชวนให้เรานั่งเอกเขนกกินลมชิมอาหาร
พร้อมกับเสียงเพลงแบบ Chill Out หากเป็นคืนวันพุธ ศุกร์ และเสาร์ มีดนตรีสดมา
ขับกล่อมเพิ่มบรรยากาศครื้นเครงและสีสันยามค่ำคืน

ที่มา http://www.72eakmai.com/

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


ประวัติความเป็นมา
อาคารหินอ่อนศิลปะสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกหลังนี้ เริ่มก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2450 ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่รับรองแขกเมือง และใช้สำหรับประชุมปรึกษาราชการแผ่นดิน ภายหลังจากที่สร้างพระที่นั่งอัมพรสถานในเขตพระราชวังดุสิตเสร็จแล้วในปี พ.ศ.2449 โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นแม่กองจัดการก่อสร้าง ให้นาย มาริโอ ตามาโย สถาปนิกชาวอิตาลีเป็นนายช่างออกแบบ ให้ศาสตราจารย์ แกลิเลโอ คินี และ นาย ซี. ริกุลี เป็นช่างเขียนภาพ
พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นพระที่นั่งที่สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนเรอเนสซองส์ ภายนอกประดับด้วยหินอ่อนซึ่งสั่งมาจากประเทศอิตาลี องค์พระที่นั่งเป็นอาคารหินอ่อนสองชั้น มีโดมสูงใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีโดมเล็ก ๆ โดยรอบอีก 6 โดม ชั้นบนเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ แบ่งเป็นท้องพระโรงหน้าและท้องพระโรงหลัง บนเพดานโดมของพระที่นั่ง มีภาพเขียนสีปูนเปียกขนาดใหญ่ที่สวยงามจำนวน 6 ภาพ แสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของพระบรมราชจักรีวงศ์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 6 โดยฝีมือเขียนภาพของศาสตราจารย์แกลิเลโอ คินี และนาย ซี.ริกุลี
การก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม ได้ดำเนินการจนสำเร็จบริบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ.2458 รวมใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น 8 ปี งบประมาณค่าก่อสร้างตามราคาในสมัยนั้นคิดเป็นเงิน 15 ล้านบาท

ไปชมพระที่นั่งอนันฯ
พระที่นั่งอนันฯ ตั้งเด่นสง่างามอยู่ปลายถนนราชดำเนิน เขตดุสิต ในอาณาบริเวณเดียวกับพระที่นั่งวิมานเมฆ ใกล้กับพระบรมรูปทรงม้า สวนอัมพร และสวนสัตว์ดุสิต เขาดินวนา ส่วนมากเรามักจะมองเห็นด้านหน้าของพระที่นั่ง จากทางลานพระบรมรูปทรงม้า แต่ประตูทางเข้าชมจะอยู่ด้านหลัง ซึ่งจะเข้าได้จากทางถนนอู่ทองใน ตรงข้ามเขาดิน หรือทางถนนราชวิถี คือเข้าผ่านทางพระที่นั่งวิมานเมฆแล้วเดินชมพระที่นั่งอื่นมาเรื่อย ๆ แต่ถ้ามีเวลาไม่มากและต้องการชมพระที่นั่งอนันฯ อย่างเดียว แนะนำให้เข้าประตูทางฝั่งถนนอู่ทองใน (ที่เขียนว่า พระที่นั่งอภิเศกดุสิต) เพราะเดินนิดเดียวก็ถึงองค์พระที่นั่งแล้ว

เราสามารถถ่ายรูปได้แค่ตรงประตูทางเข้าเท่านั้น เมื่อเดินเข้าไปข้างในพ้นประตูไปแล้ว จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้อีก ภาพภายในต่อจากนี้ได้มาจากแผ่นพับและเอกสารนำชมพระที่นั่งในวาระต่าง ๆ ที่ทางเว็บไซต์รวบรวมมาได้

ภาพเขียนสีปูนเปียกขนาดใหญ่บนเพดานโดมทั้งหก ที่เป็นฝีมือของนาย ริกุลี ช่างภาพชาวอิตาลีก็เป็นอีกจุดที่น่าสนใจ เป็นภาพแสดงเหตุการณ์สำคัญในพระราชพงศาวดาร หกรัชกาลแรกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งมีแนวทางการวาดภาพ การใช้สีแสงเงาตามแบบจิตรกรรมตะวันตกที่ดูมีมิติ แตกต่างกับจิตรกรรมไทยดั้งเดิมที่เน้นการเขียนลายเส้นสวย ๆ ให้สีแบน ๆ ภาพเขียนชุดนี้ นายริกุลีได้ทดลองร่างขึ้นก่อนเขียนจริง ต้นฉบับงานร่างนั้น ทุกวันนี้ยังคงเก็บรักษาไว้ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ ในบริเวณพระราชวังดุสิตนี้เช่นกัน

พระที่นั่งอนันฯ นี้ ในครั้งแรกทีเดียว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้สอยในฐานะเป็นท้องพระโรงของพระราชวังดุสิต เช่น เป็นมงคลสถานจัดงานพระราชพิธี หรืองานพระราชทานเลี้ยงในวโรกาสสำคัญต่าง ๆ ครั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระที่นั่งอนันฯ เป็นที่ประชุมรัฐสภาของชาติ ต่อมาภายหลัง แม้ว่าจะมีการก่อสร้างห้องประชุมของรัฐสภาขึ้นใหม่ที่บริเวณถนนอู่ทองในแล้ว รัฐสภาก็ยังได้รับพระราชทานพระมหากรุณาให้ใช้พระที่นั่งอนันฯ ต่อไปในฐานะอาคารรัฐสภาของชาติ ทุกคราวที่มีรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาก็ดี พระราชพิธีฉลองรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทุกวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีก็ดี รัฐสภาก็ได้ใช้พระที่นั่งอนันฯ เป็นสถานที่จัดงานพระราชพิธีและรัฐพิธีเสมอมา

ปัจจุบัน พระที่นั่งอนันฯ ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดนิทรรศการถาวร "ศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5 " แสดงผลงานศิลปะหัตถกรรมของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยเป็นการนำเสนอผลงานชิ้นสำคัญที่วิจิตรงดงามจากฝีมือของนักเรียนจากโรงฝึกศิลปาชีพ สวนจิตรลดา อาทิเช่น พระที่นั่งพุดตานถมทอง พระที่นั่งพุดตานคร่ำทอง เรือพระที่นั่งจำลองศรีสุพรรณหงส์ บุษบกห้ายอดไม้แกะสลัก ฉากผ้าปักป่าหิมพานต์ ฉากไม้แกะสลักตำนานเพชรรัตน์ ฯลฯ รวมไปถึงผลงานที่เคยจัดแสดงในงานศิลป์แผ่นดินครั้งที่ผ่าน ๆ มา โดยเริ่มเปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2551 แล้ว นับเป็นโอกาสอันดี สำหรับท่านที่ชื่นชอบในการชมความงดงามทางสถาปัตยกรรม ความวิจิตรบรรจงภายในขององค์พระที่นั่ง ที่จะได้ชมงานศิลปะหัตถกรรมชั้นสูงควบคู่กันไปด้วย พระที่นั่งอนันฯ เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ทุกวัน ปิดวันจันทร์ วันหยุดเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ ทางผู้จัดทำมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ศิลปะความสง่างามขององค์พระที่นั่งอนันตสมาคม ให้กับผู้ที่สนใจ ผู้ที่คิดจะมาชม หรือผู้ที่ไม่มีโอกาสมาชมด้วยเหตุผลบางประการ ศิลปะสมบัติเหล่านี้ ไม่ได้เป็นสมบัติของใครคนใดคนหนึ่งแต่ลำพัง หากแต่เป็นสมบัติศิลป์ของแผ่นดินไทยและของคนไทยทุกคนร่วมกันภาคภูมิใจ.

ผู้ครองแชมป์ตึกที่สูงที่สุดในโลก
เบิร์จดูไบ
เบิร์จดูไบ
ผู้ครองแชมป์ตึกที่สูงที่สุดในโลก คีอ เบิร์จดูไบ(อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ตึกที่จะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงถึง 807 เมตร แซงตึก Taipei 101 หรืออีหลิงอี ที่ไต้หวัน ซึ่งสูง 509 เมตรไปลิบตา

โดยผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจของรูปทรงอาคารจะการกระจายตัวของกลีบดอกไม้และยอดโดมครับ
โดยผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจของรูปทรงอาคารจะการกระจายตัวของกลีบดอกไม้และยอดโดมครับ


เบิร์จดูไบ(ในตอนครับ)
เบิร์จดูไบ(ในตอนครับ)

และ1-5ของตึกที่สูงที่สุดในโลกครับ
และ1-5ของตึกที่สูงที่สุดในโลกครับ


ภาพจำลองตึกเมื่อเสร็จสมบูรณ์ จะมีทั้งหมด 162 ชั้น
ภาพจำลองตึกเมื่อเสร็จสมบูรณ์ จะมีทั้งหมด 162 ชั้น

ตึกนี้จะติดตั้งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ที่มีความเร็ว 18 เมตรต่อวินาที
ตึกนี้จะติดตั้งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ที่มีความเร็ว 18 เมตรต่อวินาที

หลับสบายเหนือก้อนเมฆ กับโรงแรมลอยฟ้า

โครงการในฝัน โรงแรมลอยฟ้า

A. Asadov, A.A. Asadov และ A. Gorelov สามสถาปนิกชาวรัสเซียได้ออกแบบโครงการที่เรียกว่า “Aerotel” โรงแรมลอยฟ้า

Aerotel เป็นอาคารที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 300 เมตร และสูง 36 เมตร ตัวโรงแรมลอยอยู่บนอากาศคล้ายกับบอลลูน โดยมีโครงสร้างแบบ 3 ขาตั้งอยู่กับพื้นดิน พร้อมกับลวดสลิง

ผู้ออกแบบมีความคิดว่าการสร้างอาคารที่ลอยอยู่บนอากาศ จะทำให้พื้นที่ใต้อาคารสามารถที่จะคงความเป็นธรรมชาติอยู่ได้ เช่น ยังคงเป็นป่า,แม่น้ำ หรือทะเล หรือแม้แต่จะสร้างเป็นสวนสาธารณะไว้ใต้อาคาร

พลังแห่งศรัทธาก่อกำเนิด สิ่งก่อสร้างงานออกแบบสถาปัตยกรรม อันมหัศจรรย์ นครวัด


[untitled.bmp]


[ccc.bmp]


[post-128309-1262078643.jpg]


[196086-42.jpg]


[Angkor-wat2.jpg]


[bild6g.jpg]


[155398.jpg]


[nakonwat.jpg]

[angkorwat7.jpg]

[angkorwat2.jpg]

[angkorwat6.jpg]

[232312_4341457.jpg]

[angkorwat3.jpg]

[232312_4341270.jpg]

[232312_4341255.jpg]

[232312_4341234.jpg]

[800px-Angkor-Wat-from-the-air.jpg]



ปราสาทหินที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้สิ่งก่อสร้างร่วมยุคสมัยของมัน อลังการ งดงาม และมหัศจรรย์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ กล่าวเมื่อแรกพบสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ว่า “See Angkor and die” ตายก็ไม่เสียดายที่มีโอกาสมาสัมผัสปราสาทหินนครวัด



แต่สำหรับมนุษย์โลกยุคปัจจุบัน ที่อาศัยอยู่ในท่ามกลางสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมอันทันสมัยมากมาย ยุคสมัย ที่นานาประเทศแข่งขันกันสร้างตึกที่มีความสูงเสียดเมฆ เพื่อประกาศตนครอบครองตำแหน่งตึกที่สูงที่สุดในโลก อาจไม่ตื่นเต้นมากนักเมื่อได้มาสัมผัส กับสิ่งก่อสร้างที่อลังการนามว่านครวัด แต่หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งสมัยที่ นักโบราณคดีชาวตะวันตกได้ฝ่าป่ารกชัฏ จนค้นพบสิ่งก่อสร้างที่ถูกชาวพื้นเมืองร่ำลือและพูดถึง เขาจะตกตะลึงเพียงใด อิ่มเอมปรีดาเพียงใด กับสิ่งที่เขาได้มาประสบโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะนักโบราณคดีและนักมานุษวิทยาเช่นเขา



โลกหมุนรอบตัวเองไปอีกหลายรอบ นับตั้งแต่ที่การค้นพบสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ ที่ซ่อนเร้นอยู่กลางป่าลึกของกัมพูชาเปิดเผยตนเองสู่ชาวโลก ในที่สุดผมมีโอกาสได้เดินทางมาเยือนโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ของโลก นครวัด -นครธม ย้อนหลังกลับไปสิบกว่าปีที่ผ่านมา การเดินทางจากประเทศไทยมานครวัดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย



หากเดินทางโดยเครื่องบินคุณต้องไปลงที่กรุงพนมเปญและต่อทั้งรถ ทั้งเรือ กว่าจะได้เข้าถึงดินแดนแห่งนครวัด หรือไม่เช่นนั้นต้องเดินทางข้ามชายแดนด้วยรถยนต์ จากอรัญประเทศของไทย ผ่านถนนที่ไม่อาจเรียกได้ว่าถนนร่วมสามร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้น จากชายแดนไทยสู่จุดหมาย แต่กลับต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางเป็นวันๆเลยทีเดียว ทุกวันนี้ถนนเส้นดังกล่าว ก็ยังคงถูกใช้เป็นเส้นทางเดินทางท่องเที่ยว สู่ปราสาทนครวัดของนักท่องเที่ยว ที่ชอบผจญภัย งบน้อย สภาพถนนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่ดีมากนัก



แต่การเดินทางเยือนนครวัดที่สะดวกสบายที่สุด คือการเดินทางด้วยเครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ จากกรุงเทพมุ่งตรงสู่นครวัด หลายคนบอกว่าการมีสายการบินผูกขาดนี่เอง ทำให้ถนนเส้นสำคัญที่มุ่งตรงสู่นครวัดจากไทย ไม่ได้รับการพัฒนาให้คืบหน้าอย่างเช่นที่มันควรจะเป็น จะอย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดอย่างเช่นพวกเรา การเดินทางด้วยทางรถยนต์เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ที่สุด ลำบากเล็กน้อย หากแต่ได้พบเห็นภาพชีวิตสองข้างทางถนน ย่อมเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการนั่งรถทั้งวัน



ทุกวันนี้แม้ว่าสถานะทางการเมืองของกัมพูชาจะยังไม่มั่นคง แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก เมืองเสียมเรียบที่ตั้งของนครวัดมีที่พักหลากหลายระดับให้เลือก ตั้งแต่ห้าดาวจนกระทั่งเกสต์เฮ้าส์ เสน่ห์และความมหัศจรรย์ของก้อนหินเพียงเท่านั้นหรือ ที่นำพาผู้คนจากทั่วทุกสารทิศสู่ดินแดนแห่งนี้
เช้าตรู่วันนั้น หลังจากจัดการเรื่องค่าธรรมเนียมการเข้าชมโบราณสถานเรียบร้อยแล้ว เราเลือกที่จะมุ่งตรงไปยังปราสาทบายนก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อสัมผัสกับพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อันขึ้นชื่อ ผมไม่แปลกใจเลยที่นักโบราณคดีชาวตะวันตกจะหลงไหลและตื่นตะลึง จนก่อเป็นความประทัปใจ เมื่อพวกเขาฝ่าป่าที่รกชัฏเข้ามาพบกับปราสาทแต่ละหลัง ที่กระจายตัวกินบริเวณกว้าง อาณาจักรแห่งนี้มิใช่เพียงเล็กๆเท่านั้น ถ้าคุณเข้าใจว่านครวัดคือปราสาทหลังเดียว หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ นครวัดเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นต่างยุคกับองค์ปราสาทหลังอื่น แต่มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวนปราสาททั้งหมด รวมทั้งมีหลักการในการสร้างที่น่าตื่นตะลึง ได้รับการบูรณะเรียกได้ว่าน่าจะสมบูรณ์ที่สุด


เมือคุณมาเยือนนครวัด คุณมิได้เยือนเพียงแค่ตัวปราสาทนครวัดเพียงแค่องค์เดียวเท่านั้น มีปราสาทหลังอื่นๆอีกบริเวณอันกว้างใหญ่ของโบราณสถานทั้งหมด เรียกขานว่า นครธม อันเป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลที่เชื่อมต่อกัน มิหนำซ้ำในปัจจุบัน ยังมีการค้นพบบูรณะสิ่งก่อสร้างอีกหลายจุดเพิ่มเติม เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม หากคุณจะสัมผัสกับสิ่งก่อสร้างต่างๆให้ครบถ้วนนั้น เวลาหนึ่งอาทิตย์อาจจะไม่เพียงพอ ที่ดำเนินไปนั้นทุกคนอาจได้ดูหลายปราสาทในหนึ่งถึงสองวัน ซึ่งเป็นปราสาทเด่นๆที่ได้รับการบูรณะอย่างดี แต่เป็นเพียงการได้ดูเท่านั้นมิใช่ได้สัมผัสและซึมซับกับความลึกลับ ความงดงาม และความอลังการของโบราณสถานเหล่านี้


ที่ปราสาทบายน ใบหน้าที่สลักเสลาอย่างวิจิตร หินแต่ละก้อนที่ประกอบกันขึ้นเป็นใบหน้านั้น ไม่ใช่ก้อนเล็กๆ มันซ้อนเรียงกันด้วยความปราณีต จัดวางอย่างมีหลักการ ผู้คนในยุคหลังกว่าที่จะบูรณะมันให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมได้ ยังต้องใช้ทั้งกำลังคนและเครื่องมือมากมาย แต่ชาวขอมโบราณจัดการกับการออกแบบ การสลักหินแต่ละก้อนให้ลงตัวได้อย่างไร พวกเขาใช้อะไรในการคำนวณ ใช้เครื่องมือชนิดใด เป็นสิ่งที่ท้าทายจินตนาการของเราอย่างยิ่งทีเดียว โดยเฉพาะการได้มาสัมผัสโดยตรง ทั้งกายและใจ หาได้เป็นเพียงการมองมันผ่านภาพถ่าย เรารู้สึกได้ว่าหินเหล่านี้มีพลัง มันเป็นพลังงานบางอย่างที่ส่งสะท้อนออกสู่บริเวณโดยรอบ มันตรึงเรา ทุกก้าวขณะที่เดินผ่านใบหน้าแต่ละใบ ปราสาทบายน เป็นเสมือนโลกแห่งความพิศวง ความน่าตื่นเต้น และ ผจญภัยอย่างแท้จริงทีเดียว ที่จะฉุดกระชากให้จินตนาการของคุณตื่นขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง



ในอาณาบริเวณของนครธม ปราสาทตาพรม เป็นอีกสถานที่ซึ่งมีผู้คนแวะไปเยือนมากมาย ผมชื่นชอบอารมณ์อันลึกลับและขรึมขังของปราสาทตาพรมมาก รูปถ่ายของปราสาทตาพรมนั้น นับได้ว่าถูกนำไปเผยแพร่สู่โลกภายนอกหลากรูปแบบ ทั้งภาพนิ่งและภาพยนต์ ผมคิดว่าหลายคนคงเคยผ่านตารูปปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม รากไม้ชอนไชไปตามรอยแตกของก้อนหิน เสมือนมันโอบกอดปราสาทหลังนี้เอาไว้ มันดูลึกลับ ในบางขณะบางมุมมันดูวังเวงและเศร้าสร้อย แต่มันเป็นปราสาทที่ผู้คนส่วนมากโปรดปราน ปราสาทหลังอื่นๆอาจได้รับการบูรณะอย่างดี แต่สำหรับปราสาทตาพรม การถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของป่าดิบ ทำให้ต้นไม้รุกคืบสู่ตัวปราสาท การที่ธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทนั้น กล่าวกันว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ส่วนที่ดีคือมันช่วยค้ำปราสาทบางส่วนไม่ให้พังทลายลงมา แต่ผลเสียคือการบูรณะด้วยการขุดรากถอนโคนต้นไม้ทิ้งนั้น มิสามารถทำได้โดยง่ายอีกทั้งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ปราสาทตาพรมในหลายส่วนจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ในทางกลับกันมันกลับกลายเป็นมนต์เสน่ห์ เป็นอีกมิติหนึ่งหนึ่งให้กับปราสาทหลังนี


ท่ามกลางความร่มรื่นของยามบ่าย ผมปีนป่ายขึ้นไปตามรากของต้นไม้ ที่แผ่กิ่งก้านค้ำระเบียงคตของปราสาทเอาไว้ ขึ้นไปด้านบนได้อย่างง่ายดาย มีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกนั่งพูดคุยกันอยู่ด้านบนสองสามกลุ่ม รวมทั้งหนุ่มชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่นั่งเงียบๆซึมซับกับโบราณสถานอันเก่าแก่แห่งนี้อยู่ ผมเลี่ยงออกไปด้านหนึ่งเพื่อหามุมสงบของตัวเองบ้าง วางกระเป๋าสัมภาระลงบนส่วนหนึ่งของต้นไม้ และนั่งลงนิ่งฟังสรรพเสียงรอบตัว ตาพรมร่มรื่นสงบเงียบ เสียงแมลงร้องระงมไปทั่ว ต้นไม้ใหญ่สยายปีกโอบคลุมทั่วบริเวณปราสาท มีเพียงแสงแดดรำไรลอดผ่านลงมาเท่านั้น บรรยากาศสงบสบายนี้ชวนให้เข้าสู่ภวังค์ได้อย่างรวดเร็วแน่นอนว่าสำหรับการแวะมาท่องเที่ยวที่นครวัด เหนือสิ่งอื่นใดคือการไปสัมผัสกับปราสาทนครวัดที่ยิ่งใหญ่ ความอัศจรรย์ของนครวัดมีมากมาย มิเพียงแค่ความลึกลับของการก่อสร้างเท่านั้น แค่บารายหรืออ่างเก็บน้ำที่ถูกขุดขึ้น เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งนั้น หลายแห่งในเขตพระนครมีขนาดกว้างใหญ่จนอาจเรียกว่าทะเลสาบได้ บารายที่หน้านครวัดซึ่งโอบล้อมรอบตัวปราสาท หากมาในฤดูแล้งเราจะไม่เห็นความกว้างใหญ่ของมัน เพราะเราไม่คิดว่ามันคือพื้นที่เก็บน้ำ หากมาในโมงยามที่ชุ่มฉ่ำของฤดูฝน เราจะได้สัมผัสกับทะเลสาบน้ำจืดที่กว้างใหญ่ วิธีการก่อสร้าง การวางโครงสร้าง ความสัมพันธ์ของสิ่งก่อสร้างกับธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ท้าทายความใคร่รู้ของนักโบราณคดีจำนวนมาก สถานที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยศิลปะวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และวิทยาศาสตร์ ที่ผสมกลมกลืนกั


นักท่องเที่ยวส่วนมาก มักเลือกเวลามาถึงนครวัดในช่วงบ่ายใกล้เย็น และอยู่จนกระทั่งดวงตะวันตกดิน ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด ภายในตัวปราสาทนครวัดที่กว้างใหญ่นั้นมีซอกมุมที่น่าสนใจมากมาย นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีกล่าวถึงจุดที่น่าสนใจ ที่สามารถเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ความเป็นมา ของสถานที่แห่งนี้ เป็นกุญแจเชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบัน ทั้งภาพสลักบริเวณระเบียงคต ภาพจำหลักของนางอัปสร ซึ่งตามจุดดังกล่าวจะมีแสดงอยู่ในข้อมูลท่องเที่ยว หรือแม้แต่จากการแนะนำของไกด์ท่องเที่ยว แต่การแวะมาเยือนสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ แม้จะพลาดชมจุดต่างๆเหล่านั้น เพราะมิได้ใช้บริการไกด์ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตามไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจ เพราะว่าไม่ว่าเราจะทดลองใช้เส้นทางใด เพื่อสำรวจภายในของปราสาทนครวัด คุณก็เสมือนได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของความมหัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่แห่งนี


ผมแวะไปสัมผัสกับภาพกองทัพชาวสยามที่เดินทัพไม่เป็นระเบียบ แวะไปดูนางอัปสรที่ว่าสมบูรณ์ที่สุด บริเวณอกของเธอถูกมือดีทั้งหลายจับจนมันวาวทีเดียว เป็นการห้ามใจที่ยากเย็นของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย การท่องเที่ยวนำมาซึ่งรายได้มากมาย แต่มันก็มีสิ่งที่ต้องชดใช้ เส้นทางการเที่ยวชมมักมาจบที่ด้านบนของตัวปราสาท ฝ่าขั้นบันไดที่ทั้งสูงและชัน นักท่องเที่ยวมักจะใช้เวลาที่จุดนี้นานที่สุด บางกลุ่มอยู่จนกระทั่งดวงตะวันลับฟ้า เพราะเมื่อยืนมองจากยอดปราสาทด้านบนของนครวัด เราสามารถมองเห็นดวงตะวันค่อยๆทิ้งตัวลงที่เส้นขอบฟ้า โดยมีทุ่งราบที่กว้างขวางของกัมพูชา ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดเบียดเสียดกันอยู่ เห็นปราสาทบางหลังพ้นยอดไม้ ถูกอาบด้วยแสงสีส้มของดวงตะวันในยามเย็นงดงามยิ่งนัก


แสงสีส้มอาบไล้ไปทั่วก้อนหินสีเทา ที่ถูกวางเรียงอย่างอัศจรรย์ จนกลายมาเป็นสิ่งก่อสร้างที่อลังการ ยิ่งใหญ่ ของโลก บรรดาก้อนหินเหล่านี้ นับเป็นก้อนหินที่แสนวิเศษ และยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง มืออันเปลือยเปล่าของผมสัมผัสกับความเย็นที่ซึมผ่านออกมาจากแผ่นหิน ผมเชื่อว่าหินทุกก้อนที่ถูกนำมาประกอบกัน จนกลายมาเป็นสิ่งก่อสร้างนามนครวัดแห่งนี้ มีจิตวิญญาณ หินทุกก้อนผ่านเรื่องราวต่างมามากมาย ผ่านยุคสมัย ผ่านทั้งแสงแดดสายลมและสายฝน ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น มันผ่านอดีตข้ามกาลเวลามาจนปัจจุบัน คงยากที่จะกล่าวนิยามใดๆที่จะอธิบายการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าความรู้สึกของผู้มาเยือนสำหรับโลกยุคใหม่ จะมิอาจกล่าวได้ว่า See Angkor and die ได้แต่ภาพปราสาทหินจะคงอยู่ในความทรงจำของเรา อย่างแนบแน่นไปอีกนานเท่านาน

นักออกแบบเค้าคิดกันว่า...?

-การออกแบบที่ว่างเป็นมูลฐานต้นแบบของการออกแบบงานประเภทสามมิติ นักออกแบบทางกายภาพไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก นักออกแบบตกแต่งภายใน นักออกแบบเมือง นักผังเมือง แม้กระทั่งศิลปินผู้เชี่ยวชาญงานศิลปะ ย่อมได้รับการฝึกฝนในแง่สุนทรียศาสตร์ของการสร้างที่ว่างในงานสามมิติ จนสามารถสร้างที่ว่างได้อย่างมีคุณค่าและได้รับการยอมรับ ดังนั้นเรื่องการออกแบบที่ว่างจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกแบบห้องเล็กๆหรือสวนหน้าบ้านเท่านั้น หากแต่ที่ว่างนั้นปรากฎอยู่ในทุกสิ่งรอบตัวเรา โดยที่ว่างจะปรากฎตัวขึ้นเมื่อเราสามารถรับรู้การมีตัวตนของมันได้ (perception of space) ซึ่งสถาปนิกในฐานะที่เป็นผู้ออกแบบ
ที่ว่างย่อมต้องเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องการกำเนิดขึ้นของที่ว่าง คุณสมบัติของที่ว่างต่างๆที่มีผลต่อมนุษย์ ตลอดจนเข้าในการออกแบบที่ว่างให้มีคุณภาพที่ดี จึงจะนับได้ว่าเป็นสถาปนิกที่เข้าใจในธรรมชาติของการสร้างที่ว่างได้อย่างชาญฉลาดที่สุด สถาปนิกประเภทนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรังสรรค์งานสถาปัตยกรรมออกมาได้อย่างลงตัวในทุกกรณี และสิ่งสำคัญควรมีใจรักในการออกแบบ สนุกกับงานที่ทำหรือสิ่งที่คิด แล้วงานนั้นจะออกมาดีเอง ขอบพระคุณทุกท่าน ที่ช่วยกัน VOTE ค่ะ ^^moonoi^^

6 สิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุด เท่าที่มนุษยโลกเคยสร้างมา

อันดับ 6 Regatta hotel, Jakata

ขนาด 11 เฮคเคอร์ และจะสะดุดตาทันทีเมื่อแรกเห็น กับ โครงสร้างที่น่าชวนหลงไหลใน theme ของทะเล กับแนวคิด aerodynamically shape ซึ่งทำไม่บดบังทัศนียภาพของทะลอันงดงามอีกด้วย ตึกนี้สร้างขึ้นที่ jakata อินโดนีเชีย ครับ!!!




อันดับ 5 Cctv headquarters, China -

สำนักงานใหญ่ของ สถานนี โทรทัศน์ชื่อดังของ จีน ด้วยรูปร่างที่งดงาม "Z-zig zag" (ผมว่ามันสวยแบบแปลกๆครับ ไม่ใช่ ซิก แซก ธรรมดาด้วยนะครับ ต้อง z zig azg) เอกลักษณ์และความท้าทายน่าจะมาจากตรงส่วนเชื่อมต่อกันระหว่างตึก ที่ไม่มีอะไรมารองรับเลย แต่ยังสามารถตั้งอยู่ได้

ตึกนี้อาจจะไม่ใช่ตึกที่สูง หรืองดงามที่สุดในปักกิ่ง แต่มันเป็นตึกที่ดึงดูดสายตาของคนที่เดินผ่านมาได้มากที่สุด ด้วยเนื้อที่โดยรวม 380,000 ตารางเมตรด้วยกัน


อันดับที่ 4 Chicago spire, USA -

ตึกสูงที่ chicago นี้มาเป็นอันดับสี่ ของตึกเท่ๆ จากการที่มันตรั่งตรงขึ้นฟ้าอย่างมี sytle ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ คนพัฒนาอยากให้เห็นมัน สูงที่สุด แม้ว่าจะอยู่ในปี 2010 มันทั้งสวย และภายในถูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์ที่งดงาม ตึก 609 เมตรนี้จะเป็นศุนย์กลางของ chicago อย่างแน่นอน

อันดับที่ 3 Residence Antilia, India -

บอกตามตรงเลยครับ ตอนแรก ผมนึกว่าตึกนี้จะเข้าวิน อันดับหนึ่งด้วยซ้ำ ด้วยการลงทุนสร้างของมหา มหา มหา เศรษฐีชาวอินเดีย Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance industries (คล้ายๆ อดีตนายกเรานะครับ เขาไม่ใช่คนที่เกิดที่อินเดียมั้งครับ ถ้าจำไม่ผิด และถ้าจำไม่ผิดอีกเช่นกัน... รวยเป็นอันดับห้าของโลกครับ แบบว่า รวยมากๆ)


บ้านที่กำลังสร้างนี้อยู่ที่ย่านคนรวยของเมืองมุมไบหรือบอมเบย์เดิม มีบริษัทสถาปนิกเพอร์กินส์ & วิล (PERKINS & WILL) จากชิคาโกเป็นผู้ออกแบบ ความสูงเท่ากับตึก 60 ชั้นแต่ใช้จริงๆ ประมาณ 20 กว่าชั้น แบ่งเป็น



- พื้นที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวคือมูเกศกับภรรยา ลูก 3 คนและมารดาซะ 4 ชั้น

- อพาร์ตเมนต์สำหรับแขก (เผื่อมาอยู่เป็นเดือนเป็นปี)

- ศูนย์สุขภาพ 2 ชั้น มีสระว่ายน้ำในร่วมและห้องยิม และมีชั้นหลบภัยต่างหากสำหรับกรณีฉุกเฉิน

- ศูนย์นันทนาการพร้อมโรงหนังรองรับเพื่อนฝูงได้ 50 คน

- ที่จอดรถ 168 คัน

- ลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนหลังคา 3 ลาน




นอกจากนี้ยังมีระเบียงต้นไม้อีกหลายชั้นซึ่งได้รับแรงดลใจจากตำนานสวนลอยแห่งบาบิโลน และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย บ้านหลังนี้เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีคนรับใช้ประจำหน้าที่ทั้งหมด 600 คน (ส่วนค่าน้ำค่าไฟจะเป็นเท่าไหร่เขาไม่ได้บอก)
ชาวโลกที่ได้ยินว่านายมูเกศกำลังสร้างบ้านราคาพันล้านเหรียญต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา เพราะประเทศอินเดียมีประชากรพันกว่าล้าน แต่ร้อยละ 35 อยู่ได้ด้วยเงินวันละ 1 เหรียญเท่านั้น บ้านหลังนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เท่าเทียมและช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจนที่นับวันจะกว้างขึ้นทุกที


อันดับ 2 Aqua, USA -

ตึก aqua นั้นถูกคาดว่าจะเสร็จภายในกลางปีหน้า ตั้งอยู่ที่กลางเมือง chicago อีกแล้ว ดูแล้วแทนที่จะเป็นตึกเหลี่ยมๆ กลับมีเล่น ระดับให้ตัวตึดูเหมือน เป็นกระแสน้ำขึ้นๆ ลงๆอยู่ตลอดเวลา เนื่องจาก การที่สถาปัตยกรรมของตัวดึกที่มีส่วนเว้ายื่นออกมานั้นทำให้แสงที่สะท้อนออกมา ให้เราเห็นตึกคล้ายกับคลื่น แต่มันคงธรรมดามากไปหน่อย เขาจึงออกแบบมากไปกว่านั้น โดยให้ส่วนเว้าที่ออกมานั้น กลายเป็นระเบียงที่ มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเลยในแต่ละชั้น (ว่ากันว่าบางชั้น ยาวถึง 12 เมตร แต่บางชั้น ยาวแค่ไม่บรรทัดวัดเอง 555)





ฉะนั้น จึงเป็นคอนโดที่มีอยู่ห้องเดียวในโลก (เขาว่ามาอย่างนั้น) ซึ่งทำให้การออกแบบภายในนั้น เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง..

อันดับที่ 1 ...... ดูกันเอาเองครับ ....... ว่าจริงไหม (555+)

ไม่ต้องบรรยาย อะไรมาก เพราะภาพที่จะเห็นต่อไปนี้ .... จะเป็นสิ่งที่ตอบทุกอย่างเอง ครับ 555+

(ยังมีอีกหลายภาพ หากใครสนใจ โหวดใน นัท และภาพเหล่านี้จะถูกส่งไปยัง... เครื่องของพี่ๆทันทีครับ ขอย้ำว่าทันทีจริงครับ )

.

................................ นี่แหละครับ 6 สิ่งที่ก่อสร้างที่เกิดขึ้นจาก น้ำมือของมนุษย์ .......................

พาชมพระที่นั่งวิมานเมฆ

พระที่นั่งวิมานเมฆ

ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆพระที่นั่งถาวรองค์แรกสมัยรัชกาลที่5
ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆ

พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ภายในสวนดุสิต สวนดุสิต เป็นอุทยานสถาน ที่สร้างขึ้นเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสทวีปยุโรปในปี พุทธศักราช ๒๔๔๐ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่สวนและนาระหว่างคลองผดุงกรุงเกษม จรดคลองสามเสน ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์)

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๓ มีพระบรมราชโองการให้รื้อย้าย พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ จาก พระจุฑาธุชราชฐาน ณ เกาะสีชัง มาปลูกสร้างขึ้นใหม่โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัตติวงศ์ ทรงกำกับการออกแบบ และเมื่อแล้วเสร็จจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองพระที่นั่งวิมานเมฆเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๔

พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ ที่สุดในโลก
มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่งดงามประณีตและได้รับอิทธิพลการก่อสร้างแบบตะวันตก องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัวแอลในภาษาอังกฤษ คือ สร้างเป็นรูปสองแฉกตั้งฉากกันแต่ละด้านยาว ๖๐ เมตร สูง ๒๐ เมตร เป็นอาคาร ๓ ชั้นเฉพาะส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่า แปดเหลี่ยม มี ๔ ชั้น ชั้นล่าสุดก่ออิฐ ถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด

ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆพระที่นั่งถาวรองค์แรกสมัยรัชกาลที่5
ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานจากพระบรมมหาราชวัง มาประทับเป็นการถาวร ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นเวลาถึง ๕ ปี จนการก่อสร้าง พระที่นั่งอัมพรสถาน เสร็จสมบูรณ์ ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๙จึงทรงย้ายไปประทับ ที่ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)เสด็จสวรรคตในปี พุทธศักราช ๒๔๕๓ พระที่นั่งวิมานเมฆก็ปิดร้างลงเพราะ เจ้านายฝ่ายใน ต้องเสด็จกลับมาประทับในพระบรมมหาราชวังตามราชประเพณี

ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆพระที่นั่งถาวรองค์แรกสมัยรัชกาลที่5
ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆ

ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๓ ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๖)พระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้สมเด็จ พระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา เสด็จมาประทับ ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนางเจ้า อินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา ได้ทรงย้ายไป ประทับที่ พระตำหนักในสวนหงส์ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ของ พระที่นั่งวิมานเมฆ

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระที่นั่งวิมานเมฆ ก็มิได้ ใช้เป็นพระราชฐาน ที่ประทับ ของเจ้านายพระองค์ใดอีก ได้แต่ปิดร้าง และทรุดโทรม ตามกาลเวลา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๗) แม้ว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณะ ซ่อมแซม พระที่นั่งวิมานเมฆ หลายครั้ง เช่น การซ่อมเปลี่ยนสายไฟฟ้า ภายในองค์พระที่นั่ง การซ่อมเสามุข ศาลาท่าน้ำ เป็นต้น แต่ในที่สุด ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมา พระที่นั่งวิมานเมฆก็ใช้เป็นเพียง สถานที่เก็บราชพัสดุ ของสำนักพระราชวังตลอดมาถึง ๕๐ ปี

ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆพระที่นั่งถาวรองค์แรกสมัยรัชกาลที่5
ท่องเที่ยวพระที่นั่งวิมานเมฆ

จนกระทั่งปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ในมหามงคลสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงสำรวจและ พบว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มีลักษณะ ทางสถาปัตยกรรม ที่ประณีตงดงาม และยังมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ รวมถึง ศิลปวัตถุส่วนพระองค์ เป็นจำนวนมาก จึงทรงขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บูรณะซ่อมแซม เพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็น มรดกของชาติสืบไป

พระที่นั่งวิมานเมฆ นี้มีห้องจัดแสดงรวมทั้งสิ้น ๓๑ ห้อง การจัดแสดง บางห้องยังคงลักษณะบรรยากาศในอดีตไว้ เช่น หมู่ห้องพระบรรทม ท้องพระโรงและห้องสรง เป็นต้น บางห้องจัดแสดงศิลปวัตถุแยกตาม ประเภท เช่น ห้องจัดแสดงเครื่องเงิน ห้องจัดแสดงเครื่องกระเบื้องลายคราม ห้องจัดแสดงเครื่องแก้วเจียระไน และห้องจัดแสดงเครื่องงา เป็นต้น

นอกจาก พระที่นั่งวิมานเมฆ ภายในบริเวณสวนดุสิตหรือวังสวนดุสิตนี้(ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามใหม่ว่า พระราชวังดุสิต และเรียกขานนามนี้ มาจนถึงปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดิน สำหรับสร้างพระตำหนัก และตำหนักที่ประทับ ของพระมเหสี พระเจ้าลูกเธอ และเจ้าจอมมารดาเป็นส่วนๆและพระราชทานชื่อสวน คลอง ประตู และ ถนนต่าง ๆ ตามชื่อเครื่องลายครามของจีนที่เรียกกันว่า เครื่องกิมตึ๋ง ซึ่งนิยมสะสมกันในสมัยนั้น ปัจจุบันหมู่พระตำหนัก ของพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายในดังกล่าว ได้เปิดจัดแสดง พร้อมด้วยโรงรถม้าพระที่นั่งให้ประชาชน ได้เข้าชมด้วยเช่นกัน www.palaces.thais.net